7
“คุณมาเที่ยวที่นี่เหรอครับ” ทองถมเอ่ยถาม เป็นการซักไซ้ประวัติของอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน แกล้งเดินไปหยิบโน้นหยิบนี่เหมือนยุ่ง พงศ์อินทร์เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาเล่าเรื่องตัวเองให้คุณลุงเจ้าของร้านขายภาพฟังคร่าวๆ ท่านจึงพยักหน้ารับรู้ ที่แท้ก็เป็นหลานชายของดวงเดือน เขารู้จักอยู่บ้าง เป็นคนแก่ใจดีมีคุณธรรม แต่เสียดายไม่มีลูกเต้า
“ผมได้รับมรดกเป็นบ้านเรือนไทยของคุณย่าเดือนครับ ท่านเสียตั้งแต่ผมยังเล็กๆ เคยมาที่นี่ครั้งนึง แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ก็ส่งไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่เด็ก”
“นี่คงเป็นครั้งที่สองกระมัง” ทองถมพยักหน้ารับรู้ ท่วงท่าการพูดและการมีสัมมาคารวะนั้นทำให้ท่านดูถูกอกถูกใจอยู่มาก
“ใช่ครับ...” คำตอบของชายหนุ่ม ทำให้ทองถมนึกกระหวัดไปถึงเจ้าของภาพ ในความรู้สึกของทองถมนั้น บัวบุษบาคือเด็กสาวที่เขารักและเอ็นดูเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง จะผิดคำพูดก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายนัก เงินทองนั้นเขามีใช้สอยไม่ได้ติดขัด แต่สัจจะวาจานั้นสำคัญ เขาเป็นคนที่ยึดคำพูดเป็นสำคัญ แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ผมสนใจครับ ราคาไม่อั้น ถ้าลุงจะขายให้ผม เท่าไหร่ผมก็ซื้อครับ” เขาละจากใบหน้าเจ้าของร้านกลับไปมองภาพงดงามจับตานั้นอีกครั้ง
“ราคาเท่าไหร่ครับ” ชายหนุ่มถามซ้ำ ทั้งๆ ที่ไม่ละจากภาพวาดภาพนั้นไปไหน
“ถ้าคุณอยากได้ภาพนี้จริงๆ ลุงจะขายให้”
“ภาพนี้ของใครครับ ผมอยากเจอกับเจ้าของภาพจะได้ไหม”
“คุณอยากเจอไปทำไมครับ” ทองถมเอ่ยถาม มองหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์
“คุณลุงจะว่าผมโกหกไหมครับ ถ้าผมจะบอกว่าผมเคยฝันเห็นผู้หญิงในภาพนี้” ทองถมเงยหน้ามองสบตาของชายหนุ่ม ก่อนจะแย้มยิ้ม สายตาไม่ได้บอกว่าโกหกสักนิด เจ้าของร้านขายภาพเก่าแก่ค่อยๆ จดที่อยู่ของบัวบุษบาและยื่นส่งให้พงศ์อินทร์ในที่สุดพงศ์อินทร์รับมาถือเอาไว้ก่อนกล่าวขอบคุณ
หวังว่าบัวบุษบาจะได้เจอผู้ชายดีๆ คู่ควรและสามารถดูแลกันได้ นั่นเป็นความคิดของทองถมที่มีต่อบัวบุษบา เขาไม่ได้อยากเป็นพ่อสื่อพ่อชักตอนแก่แบบนี้หรอก แต่เพราะนิยมชมชอบพงศ์อินทร์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น และนึกเอ็นดูความน่ารักและเป็นคนดีของบัวบุษบาเหลือจะกล่าว เขารู้ว่าหญิงสาวต้องลำบากตรากตรำ แถมยังโดนรังแก หากทั้งสองมีวาสนากันจริง เขาก็อยากให้ลองคบหาดูใจ ศึกษานิสัยใจคอกัน เหตุนี้เขาจึงมอบที่อยู่หญิงสาวให้กับพงศ์อินทร์...
“มาหาใครคะ?” คำถามของหญิงสาวตรงหน้าทำให้พงศ์อินทร์ยืนนิ่งไม่ไหวติง หญิงสาวตรงหน้างดงามเหมือนในภาพวาดไม่มีผิดเพี้ยน สุนัขตัวหนึ่งนั่งลงข้างๆ เจ้าของ พร้อมทั้งหยุดเห่าอย่างแสนรู้
“ผมมาหาคุณครับ...” คำตอบของชายหนุ่มนั้นทำให้หญิงสาวตรงหน้ากะพริบตาปริบๆ เธอแสดงสีหน้าเหมือนเคยเห็นหรือรู้จักเขามาก่อนไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งคู่ยืนมองสบตากันและกันอยู่แบบนั้น เหมือนรอบกายพลิกคว่ำพลิกหงายไปในบัดดล กลิ่นหอมอ่อนโยนที่ไม่ทราบว่ากลิ่นอะไรกันแน่ ระหว่างกลิ่นดอกไม้หลากหลายพันธุ์หรือกลิ่นกายของกันและกันทำให้อารมณ์วาบหวิวอ่อนหวาน ความรู้สึกละมุนละไม เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน คล้ายกับว่ารอบๆ กายนั้นเป็นดินแดนที่ไหนสักแห่งที่แสนคุ้นเคย แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเสน่หาอ้นล้นพ้น
“คุณมีธุระกับฉันเหรอคะ” บัวบุษบา ภัทรดารา หญิงสาววัยยี่สิบสามปี เอ่ยถามอย่างสุภาพ กิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่ท่าทางสง่างามเข้มแข็ง สายตาของเธอมองเขาอย่างสงสัย แปลกใจ และหลากหลาย แต่เก็บซ่อนหลายสิ่งเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่เป็นมิตรและอ่อนโยน อย่างผู้มีมารยาทที่ดี ทั้งๆ ที่ปากอยากจะถามอะไรกับเขาตั้งหลายอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังว่าการมาของเขาคืออะไรกันแน่
“ผมมาตามหาเจ้าของภาพวาดภาพนี้ครับ” เขายกภาพวาดที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาวางบนโต๊ะไม้สักเก่าแก่แต่สะอาดสะอ้าน เครื่องเรือนที่นี่เป็นไม้แกะสลักรูปทรงแปลกตา บ่งบอกอายุว่ามีมาหลายชั่วอายุคน ไม้ที่นำมาทำเฟอร์นิเจอร์สมัยก่อนนั้น แข็งแรง ทนทาน ลวดลายงดงามวิจิตร อีกทั้งยังอยู่ได้นานหลายปี ไม่เหมือนเครื่องไม้เครื่องเรือนเดี๋ยวนี้ที่ไม่ค่อยทนเท่าใดนัก
“ภาพเหรอคะ” ขณะถามหัวใจของบัวบุษบาก็สั่นไหว เขาค่อยๆ แกะสิ่งห่อหุ้มภายนอกออก จนเห็นภาพวาดประจำตระกูลของเธอ หญิงสาวมองด้วยความดีใจ เพราะเธอกำลังทุกข์ร้อนใจกับภาพที่พี่ชายคนเดียวขโมยมันเอาไปขายเช่นเดิม และทุกครั้งก็จะมีคนเอากลับมาส่งคืน แต่รอบนี้ไม่ใช่เจ้าของร้าน กลับเป็นลูกค้าที่ซื้อภาพภาพนี้ไปแทน
เธอนึกแปลกใจว่าทำไมลุงทองถมจึงไม่ได้เอาภาพนี้กลับมาคืนเธอเหมือนเช่นดังเก่าก่อน แต่กลับให้ผู้ชายคนนี้มาแทน
“ของคุณใช่ไหมครับ” พงศ์อินทร์เอ่ยถาม สายตาของเขาสำรวจเธออย่างรวดเร็วแต่เก็บรายละเอียดได้อย่างลึกซึ้ง ใบหน้าอ่อนหวานละมุนละไม ไม่ผิดเพี้ยนจากภาพวาด แต่จะแปลกตรงที่ผู้หญิงในภาพดูน่ารักน่าทะนุถนอม แต่คนตรงหน้ากลับดูเข้มแข็งและเป็นตัวของตัวเอง
“เป็นภาพของฉันค่ะ พี่ชายของฉันขโมยเอาไปขาย ฉันกำลังออกตามหามันอยู่ คุณจะว่าอะไรไหมคะ หากฉันจะขอซื้อคืน”
“คุณจะซื้อคืนเหรอครับ”
“ค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“มันเป็นภาพวาดของตระกูลฉันน่ะค่ะ เป็นคุณทวดมีอายุนานมากแล้ว ฉันเป็นลูกหลานต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี”
“ภาพนี้แพงนะครับ ผมซื้อมาในราคาแพงเอาการอยู่” เขาหยั่งเชิง แต่ไม่ได้คิดจะแกล้งเธอแต่อย่างใด ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เธอ
“อะไรคะ”
“จดหมายของลุงทองครับ”
บัวบุษบายื่นมือไปรับจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน เนื้อความในจดหมายทำให้เธอต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าเพื่อคิดหาคำพูดประนีประนอมหนี้
ใช่! เธอต้องใช้คำว่าประนีประนอมหนี้ เพราะเขาเป็นเจ้าหนี้ที่เธอจะต้องหาเงินมาใช้หนี้เขาเพราะภาพวาดนั้นมีราคาสูงกว่าครั้งไหนๆ
พงศ์อินทร์สังเกตอาการของหญิงสาว เขาประเมินจากความรู้สึกว่าเธอไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อภาพวาดคืน นึกย้อนไปเมื่อชั่วโมงก่อน เขาได้เดินย้อนกลับไปที่ร้านขายภาพวาดอีกครั้งหลังจากคุณลุงทองถมวิ่งตามเขาออกมาและเรียกให้เขาเข้าไปในร้าน ก่อนจะขีดๆ เขียนอะไรสักอย่าง แล้วยื่นจดหมายฉบับนี้ให้เขา บอกว่าฝากเอาไปให้เจ้าของภาพ
“คือ... ฉันขอผัดผ่อนไปก่อนได้ไหมคะ ฉันไม่มีเงินซื้อภาพคืนในราคาแพงหรอกค่ะ” บัวบุษบาพูดกับเขาเพื่อขอร้อง เนื้อความในจดหมายนั้นทำให้เธอต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะราคาของภาพวาดสูงลิ่วเหลือเกิน เธอไม่โทษคุณลุงทองถม เพราะหลายครั้งที่ท่านช่วยซื้อภาพจากพี่ชายเอาไว้ ทำให้เธอได้ภาพนี้คืนมา หลายครั้งเข้าก็เกรงใจเหลือเกิน นี่ท่านก็อุตส่าห์ฝากจดหมายฉบับนี้ผ่านมาทางเขา เพื่อให้เธอได้เจรจาต่อรองซื้อภาพต่อจากเขา
“หนูบัว ลุงต้องขอโทษด้วยที่ต้องขายภาพนี้ไปให้กับคุณพงศ์อินทร์เขา เพราะลุงมีความจำเป็นจริงๆ กลัวชิดชัยเห็นภาพเข้าจะมาคุกคามอยากได้ ถ้าภาพตกอยู่ในมือของชิดชัย ลุงกลัวว่าหนูบัวจะต่อรองกับชิดชัยลำบาก ลุงขายให้คุณพงศ์อินทร์ไปเพราะดูเขาเป็นคนดี บรรณนำภาพนี้มาขายให้ลุง บอกว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ ราคาสูงลิ่วเหลือเกิน ลุงพูดแบบนี้ หวังว่าหนูบัวคงเข้าใจลุงนะ แต่กระนั้นหากหนูบัวมีปัญหาอะไร ก็สามารถมาขอความช่วยเหลือลุงได้เสมอ ลุงยินดีช่วยเหมือนเคย”
ลุงทองถม...
เนื้อความในจดหมายทำให้บัวบุษบาถอนใจหลายครั้ง เธอเข้าใจลุงทองถม แต่ไม่เข้าใจคือ เหตุใดลุงทองถมที่คอยช่วยเหลือเธอมาตลอด ถึงได้ถูกชะตากับพงศ์อินทร์ถึงขนาดขายภาพให้อีกฝ่าย
“ถ้าคุณไม่มีเงินซื้อคืน ผมก็จะเก็บเอาไว้ก่อนดีไหมครับ” พงศ์อินทร์ไม่รู้ว่าเนื้อความในจดหมายนั้นคืออะไร รู้แค่จากที่เธอพูดว่าลุงทองถมเขียนมาว่าขายภาพให้เขาในราคาสองแสนบาท ซึ่งเขาก็จ่ายเงินไปให้เรียบร้อยแล้ว