บท
ตั้งค่า

5

“คุณแม่ควรจะพักได้แล้วครับ ปล่อยให้ผมกับพี่พงศ์ดูแลแทน” พชรพูดอย่างห่วงใยมารดา เห็นท่านอยู่เฉยไม่ได้ เพราะเป็นคนขยัน หลังจากบิดาสิ้น พอคลายจากทุกข์โศกก็โหมงานหนัก เขาคิดว่ามารดาควรพักผ่อนหรือท่องเที่ยว ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข มากกว่าจะตรากตรำทำงานแบบนี้ไม่ได้พักผ่อนเขากับพี่ชายลงมือทำทุกอย่างที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของท่านได้โดยไม่รีรอ ในขณะที่งานของมารดาค่อยๆ น้อยลงและได้พักผ่อนมากขึ้น

“จ้ะ ทานข้าวกันเถอะ” พงศ์อินทร์ยิ้มอ่อนโยนให้มารดาและน้องชาย ความรู้สึกนึกคิดของเขากำลังล่องลอยไปยังหญิงสาวในความฝัน ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ ช่างอ่อนโยนและอ่อนหวานหวามในอกเหลือเกิน

หลังจากแยกย้ายกับมารดาและพี่ชายพชรก็ขับรถไปหาเพื่อน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ รถคันหน้ากลับเบรกกะทันหัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาชนท้ายรถคันหน้าเต็มๆ ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย เขาลงไปจากรถ ต่อว่าเสียยกใหญ่ เพราะรถคันหลังอีกคันขับมาชนท้ายรถเขาด้วยเช่นกัน

“ขับรถประสาอะไรของคุณห้ะ ใบขับขี่ซื้อมาหรือไง” เขาระเบิดอารมณ์ด้วยความโมโห

“ขอโทษค่ะ ใบขับขี่ฉันไม่ได้ซื้อมา แต่สุนัขมันกำลังจะวิ่งตัดหน้ารถ ฉันเลยเบรกไม่อยากชนมันตาย” ชิดชมรีบบอกคนที่อารมณ์ร้อนทันที

พชรอ้าปากค้างเมื่อเห็นหญิงสาวเต็มๆ ตา เขายังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่อยู่ด้านในรถอีกฟากหนึ่งก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

“นายนั่นแหละขับรถประสาอะไร ขับจี้ท้ายรถคนอื่น พอเขาเบรกแล้วจะมาโวยวาย” เสียงของชิดชัยกร้าวพอสมควร ดวงตานั้นบ่งบอกว่าไม่ยอมอะไรง่ายๆ

“พี่ชัยช่างเถอะ เดี๋ยวเรียกประกันก็สิ้นเรื่อง” ชิดชมบอกพี่ชาย เธอกับชิดชัยเป็นพี่น้องกัน แต่คุณอาของเธอนั้นไม่มีลูกเต้าเลยขอเธอไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่เด็ก เธอไปรับพี่ชายที่สนามบินเพราะชิดชัยจะไปกราบบิดามารดของเธอด้วย จึงไม่ได้ให้ลูกน้องมารับ

ชิดชัยพี่ชายของเธอนั้น ค่อนข้างจะมีลูกน้องเยอะ เธอไม่ค่อยชอบลูกน้องของเขานัก เพราะดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ก็แปลกว่าถึงแม้คนอื่นจะบอกว่าชิดชัยเป็นพวกอันธพาล นักเลงหัวไม้ หรือพวกผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าพ่ออะไรเทือกนั้น แต่กับครอบครัว เขาดูแลเอาใจใส่ดี เหมือนอย่างกับเธอ เขารักใคร่และเอ็นดูมากมายนัก หากเธอมีปัญหาอะไร เขาจะมาช่วยเหลือในทันที โดยไม่ต้องเอ่ยปาก แค่ขอให้รู้เท่านั้นเอง

“พูดหมาๆ แบบนี้ได้ยังไง ก็แฟนนายเบรกรถกะทันหัน ฉันขับมามันก็ต้องชนสิวะ”

“แล้วมึงไม่พูดหมาๆ หรือไงวะ” ชิดชัยดึงปืนออกมาจากลิ้นชักในรถ เล็งไปที่พชรบ่งบอกว่าเอาจริง

“เฮ้ย! ถึงกับต้องใช้ปืนขู่กันเลยเหรอวะ” พชรยกมือขึ้น เขาไม่มีอาวุธติดกาย ไม่ได้กลัวแต่ตกใจเป็นธรรมดา

“อย่าพูดหมาๆ กับกูอีก” ชิดชัยพูดเสียงกร้าว คนอย่างเขาใครขัดใจยิงไม่เลี้ยง

“พี่ชัยใจเย็นๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวฉันเรียกประกันแล้วกันนะคุณ คุณก็อย่าโมโหไปเลย” ชิดชมไกล่เกลี่ย ก่อนจะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

“มากันแล้วเหรอลูก ทำไมหน้าบูดบึ้งแบบนั้นล่ะชัย” คุณชนรดีเอ่ยทักเมื่อเห็นหน้าหลานชายบูดบึ้งขณะเดินเข้าบ้านมา

“ไปมีเรื่องอะไรกับใครมาอีกล่ะ” คุณนินนาทซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของชิดชัยและน้องชายคนเดียวของกฤษณะเอ่ยขึ้นเช่นกัน เพราะรู้นิสัยของหลานชายตัวเองดี

“พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะคุณพ่อคุณแม่ พี่ชัยเขาก็เลยโมโห”

“มันปากหมาครับคุณอา ถ้าไม่ติดว่าชมห้ามไว้ ผมยิงมันไส้แตกไปแล้ว”

“เราน่ะก็ใจเย็นๆ เสียบ้าง มีอย่างรึไปควักปืนยิงคนอื่นเขาสุมสี่สุ่มห้า บ้านเมืองมีกฎหมายนะ” ชนรดีส่ายหน้าไปมาให้กับความใจร้อนของหลานชาย

“ของฝากของคุณอาทั้งสองครับ” ชิดชัยยื่นของฝากให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ไม่อยากพูดเรื่องนั้นอีก เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพูดกันดีๆ อย่างที่บอก แต่ไม่อยากทะเลาะกับผู้ใหญ่

“ดูสิ ไปต่างประเทศทีไรก็มีของฝากมาตลอด ขอบใจจ้ะที่ยังนึกถึงอา แต่อาก็เกรงใจเหลือเกิน วันหลังไม่ต้องลำบากหรอกนะชัย เย็นนี้กินข้าวกินปลากันก่อนนะ ลูกน้องของเราน่ะมาแล้วล่ะ” ลูกน้องของชิดชัยคือเมฆ ซึ่งเป็นลูกน้องที่โตมาด้วยกัน เพราะบิดามารดาเลี้ยงให้เติบโตมาพร้อมๆ กัน เป็นคนที่ชิดชัยไว้ใจมากที่สุด

“ผมคงต้องหักเงินเดือนไอ้เมฆสักหน่อย ปล่อยให้ยายชมขับรถไปรับผมเองที่สนามบิน”

“อย่าไปโทษพี่เมฆเลยจ้ะพี่ชัย ชมขับรถพี่ออกไปข้างนอกก็เลยแวะไปรับเสียเลย ดูสิมีปืนผาหน้าไม้อยู่ในรถด้วย ควักออกมาเสียน่ากลัว” ชิดชมค้อนพี่ชาย

“พี่เราน่ะใจร้อน ดีนะที่มีเราอยู่ด้วย ถ้าไปกับเมฆเขา คงสนับสนุนกันไป ยิงคนตายเสียกลางถนน” คุณชนรดีส่ายหน้าไปมา ชิดชัยเงียบเสีย เขาไม่ปฏิเสธ เพราะสถานการณ์เช่นนั้น เขาไม่ยอมให้ใครมาด่าว่าพูดจาหมาๆ แน่นอน

กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ทำให้พงศ์อินทร์ลืมตาขึ้นในห้องนอนกว้าง เขามองรอบกายด้วยความฉงน ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา เครื่องเรือนเป็นไม้เก่าแก่ขัดเงาวาบวับจับตา อุปกรณ์ตกแต่งรูปทรงแปลกตาแต่สวยงามวิจิตร เตียงที่เขานอนอยู่ก็เช่นเดียวกัน เป็นเตียงไม้ขนาดใหญ่ ตัวมุ้งลวดลายงดงามนั้นผูกติดกับเสาเตียงไม้แกะสลักทั้งสี่เสา เขาขยับตัวก็พบว่าไม่ได้นอนอยู่คนเดียว กลิ่นหอมที่ว่านั้นมาจากคนที่นอนอยู่เคียงข้าง

ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปดูหญิงสาวที่ร่วมเรียงเคียงหมอนแล้วให้รู้สึกพิศวาสเสน่หาความงามจับตาที่ได้พบพาน เขาก้มลงจุมพิตแก้มนวลคล้ายต้องมนต์สะกด คนที่นอนหลับสนิทคล้ายถูกปลุกให้ตื่นจากนิทรารมย์อันแสนสุข เธอปรือตาขึ้นเหลียวกลับมามองทางด้านหลัง สบตากับเขาอย่างลึกซึ้งอ่อนหวาน

พงศ์อินทร์ก้มลงไปจุมพิตกลีบปากสีกุหลาบที่แย้มยิ้มให้เขาอย่างเชิญชวน เขาไม่ทำให้เธอผิดหวังประทับริมฝีปากหยักหนาร้อนรุ่มลงไปหาอย่างไม่รีรอ มือหนาแสนอบอุ่นของเขาลูบไล้เล้าโลมไปทั่วเรือนร่างสาวหอมกรุ่น ผิวของเธออ่อนนุ่มละมุนมือ กลิ่นกายนั้นทำให้เขาต้องสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงครางของเธอหวานจับจิตจับใจ เรือนผมนุ่มหอมพลิ้วสลวยไปตามหมอนใบโต ยาวลงไปถึงเอวคอดกิ่ว เขาจับผมงามของเธอขึ้นมาสูดดมและม้วนเล่นอย่างติดอกติดใจ

เขาพลิกร่างสาวสะพรั่งให้นอนหงาย ผมของเธอสยายไปทั่วที่นอนกว้าง มือหนาปลดปมผ้าสีบานเย็นที่พันอกของเธอเอาไว้

พงศ์อินทร์เริ่มจูบหญิงสาวตั้งแต่หน้าผากนูนเกลี้ยง เธอหลับตาพริ้มรับจุมพิตของเขา ก่อนที่เขาจะเลื่อนใบหน้าลงมายังเปลือกตา เขาจุมพิตแผ่วๆ อ่อนโยน ลมหายใจของทั้งสองประสานกันด้วยความรู้สึกเร่าร้อน แม้ไม่มีคำพูดอันใด แต่ภาษากายและการสื่อสารทางสายตาก็นำพาให้ทั้งสองสัมผัสกันและกันอย่างอ่อนหวานละมุนละไม

พวงแก้มหอมกรุ่นถูกริมฝีปากร้อนรุกราน เธอเบี่ยงหลบอย่างเอียงอาย ทำให้เขายิ่งมองว่าเธอน่ารักน่าปรารถนา นอกจากหน้าตาและรูปร่างจะเป็นอาหารตาและอาหารใจแล้ว เขายังอยากสัมผัสกลืนกินเธอไปเสียถ้วนทั่ว รสสัมผัสนั้นทำให้เขาลุ่มหลงได้อย่างมัวเมา คล้ายหลุดเข้าไปอยู่อีกดินแดนหนึ่งที่ไม่เคยพานพบมาก่อน

ความรู้สึกคุ้นเคยต่างหากที่มาแทนที่ความรู้สึกหลายอย่างที่สับสนในหัวใจ เขาไม่มีเวลาคิดอะไรมากมายเมื่อร่างเย้ายวนชวนเสน่หากำลังรอคอยให้เขาเข้าไปคลุกเคล้าและดอมดมสัมผัสอย่างลึกซึ้งแนบสนิทชิดเชย

เขาเลื่อนริมฝีปากลงมาที่ปลายคางมนสวย ก่อนจะประทับจุมพิตกับกลีบปากสีหวานอีกครั้ง แสงสลัวในห้องเพราะดวงจันทราทำให้เขาเห็นรูปร่างหน้าตาของเธออย่างชัดเจน เธองดงามยิ่งกว่าภาพวาด กลิ่นหอมยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ ในโลกใบนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel