บทที่ 2 เทรนเนอร์สาว 1.1
เสียงด่าทอตามด้วยเสียงตบตีราวกับสงครามย่อมๆ ดังออกมาจากบ้านไม้สองชั้นหลังขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก บัวบุษยาที่เพิ่งกลับมากจากที่ทำงานรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที เพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้าน ยิ่งเสียงร้องของมารดาดังมากเท่าไหร่ ใจของสาวน้อยไม่สู้ดีมากเท่านั้น
“อย่าทำแม่ ลุงสักอย่าทำแม่” บัวบุษยาเข้าไปห้ามชายวัยห้าสิบเก้าปีผู้เป็นลุงแท้ๆ พ่วงด้วยตำแหน่งพ่อเลี้ยง ไม่เพียงแค่ห้ามด้วยปากเท่านั้น เธอยังใช้ร่างของตัวเองบังร่างของนวลจันทร์ผู้เป็นมารดา ทำให้ฝ่ามือและเท้าของสักรินทร์กระทบกับเรือนร่างของบัวบุษยาเต็มๆ
“รักแม่มึงมากใช่ไหม รักมากนักก็ถูกตบแทนแม่ของมึงก็แล้วกัน เสือกดีนัก เพียะ เพียะ” เสียงฝ่ามือของชายขี้เมาฟาดไปที่แก้มนวลของบัวบุษยาอย่างแรง ทำให้ผู้เป็นแม่โผเข้าไปหาสามีเพื่อห้ามปรามทั้งน้ำตา “พอแล้วพี่สัก อยากได้เงินเหรอเดี๋ยวฉันให้ อย่าทำบัวมันเลยนะ” มือที่ทั้งจิกผมและตบไปที่ใบหน้าของลูกเลี้ยงหยุดชะงัก ผลักร่างที่ไม่มีทางสู้ของอีกฝ่ายลงไปนั่งจ้ำเบ้าที่พื้นอย่างแรง
“ให้กูตั้งแต่แรกทั้งมึงทั้งลูกมึงก็ไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้หรอก เอามาสิวะเงินน่ะ ไม่เอามาให้กู กูจะซัดให้น่วมทั้งคู่เลย” สักรินทร์ข่มขู่ซ้ำเพื่อให้สองแม่ลูกหวาดกลัว ได้ผลนวลจันทร์รีบเดินไปหยิบเงินที่ตัวเองซ่อนเอาไว้ก่อนจะส่งให้ชายขี้เมาโดยเร็ว เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายซ้ำอีกนางเจ็บตัวไม่ว่าแต่ถ้าจะให้บัวบุษยาต้องมาเจ็บตัวเพราะนาง คนเป็นแม่หาทนได้ไม่
“นี่พี่เงินเอาไปเลย” นวลจันทร์พูดเสียงสั่นขณะที่ยื่นเงินส่งให้สามีขี้เมา
“ที่หลังกูขอมึงก็ให้กูดีๆ ต้องให้ออกแรงทุกทีเลย มึงสองคนแม่ลูกท่าทางจะโรคจิตชอบถูกตบถูกแตะก่อนหรือไงวะ” แทนที่จะว่าตัวเองที่ไม่ทำการทำงาน วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เล่นการพนันกลับต่อว่าสองแม่ลูกที่นั่งร้องไห้กอดกันกลมอยู่บนพื้น แววตาและท่าทางไม่มีความสำนึกเอาเสียเลย เมื่อต่อว่าต่อขานทั้งภรรยาและลูกเลี้ยงเสร็จ ชายขี้เมาก็เดินออกไปจากบ้านอย่างสบายใจที่ได้เงินมาต่อยอดและถอนอาการมึนเมาของตัวเอง
“แม่เจ็บมากไหม ลุงสักทำอะไรแม่หรือเปล่า” บัวบุษยาเอ่ยถามมารดาเสียงเครือด้วยความเป็นห่วง ไม่สนใจสภาพของตัวเองที่ไม่ต่างกับผู้เป็นแม่เลย ผมเผ้ารุงรังจากการจิกและกระชาก แก้มทั้งสองข้างมีรอยฝ่ามือขึ้นนูน
“แม่ไม่เป็นไรแล้วบัวละลูกเป็นไงบ้าง เจ็บมากไหมลูก ไม่น่าเข้ามาขวางเลยดูสิที่แก้มเป็นรอยฝ่ามือเลย” มือเหี่ยวย่นลูบไปที่ผิวแก้มขาวนวลของลูกสาวอย่างแผ่วเบา หัวอกของคนเป็นแม่ร้าวลึกเข้าไปในขั้วหัวใจที่เห็นลูกต้องมาเจ็บตัวเพราะมาช่วยนาง อีกทั้งคนที่ทำร้ายเป็นถึงลุงแท้ๆ แต่ที่ขยับมาอยู่ในตำแหน่งพ่อเลี้ยงได้นั้น เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่สามีของนางเสียชีวิตได้หกเดือน คืนนั้นสักรินทร์พี่ชายแท้ๆ ของสามีที่ตายจากเข้ามาปลุกปล้ำนางในห้อง พอสมใจก็ข่มขู่ว่าอย่านำเรื่องนี้ไปบอกใครไม่เช่นนั้นจะประจานให้ทุกคนรู้ว่านางให้ท่าเขาถึงห้อง นวลจันทร์จึงเก็บเรื่องในคืนนั้นไว้ในใจ
สักรินทร์ได้ทีเข้ามาปลุกปล้ำนางอีกหลายครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งสักรินทร์บังคับให้นางไปจดทะเบียนสมรสด้วยกันเพราะหึงหวงเพื่อนของสามีเก่าที่เข้ามาติดพัน นวลจันทร์ไม่มีทางเลือกกลัวทั้งคำข่มขู่และคุกคามทางร่างกายจำยอมจดทะเบียนสมรสกับพี่ชายของอดีตสามี และนี่คือสิ่งที่นางคิดเสมอว่าคิดผิดมาตลอดที่ไม่ยอมบอกใครเรื่องในนั้น คืนที่นางถูกสักรินทร์ปลุกปล้ำ กล้ำกลืนฝืนทนจนถึงปัจจุบัน
“ทำไมแม่ไม่ให้เงินลุงสักไปตั้งแต่ทีแรกล่ะแม่ แม่จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว ฮือ” บัวบุษยาถามทั้งน้ำตา ไม่ว่าจะให้ตอนนี้หรือว่าก่อนหน้าก็ต้องให้อยู่ดี ให้ก่อนหน้าจะไม่ถูกทำร้ายร่างกาย ถ้าให้ตอนหลังที่ขออาจจะถูกทุบตีหรือว่าด่าทอ สู้ให้ตั้งแต่แรกดีกว่าจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้
“เงินนั่นเป็นเงินดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายเขาไงลูก ป้าแหม่มจะมาเก็บมะรืนนี้ถ้าไม่มีเขาจะยึดบ้านแล้วไล่เราออกไปจากที่นี่ แม่ก็เลยรั้งๆ เอาไว้ไม่อยากให้เพราะถ้าให้ เราจะไม่มีที่ซุกหัวนอน บ้านหลังนี้ก็จะหลุดจำนองตกเป็นของคนอื่น แม่ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น แม่เลยไม่ยอมให้ลุงสักไงลูก”
นี่คือสาเหตุที่นวลจันทร์ไม่ยอมให้เงินสามีโดยง่าย ยอมถูกตบตีเพื่อที่จะไม่เสียเงินค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทุกเดือน ไม่เช่นนั้นบ้านจะถูกยึดเพราะติดจำนองอยู่หลายปี เงินต้นไม่ได้มากมายอะไรแค่หนึ่งแสนบาท หากแต่ค่าดอกเบี้ยที่สองแม่ลูกต้องจ่ายไปนั้น มันจะทบต้นอยู่แล้ว หากแต่ทั้งคู่ยอมเสียเพื่อไม่ให้เสียบ้านหลังนี้ไป ฐานะของบัวบุษยาค่อนข้างขัดสนภาระทุกอย่างภายในบ้านตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียว เงินเดือนที่ได้เพียงหนึ่งหมื่นสองพันบาทอาจจะเพียงพอถ้าหญิงสาวอยู่กับแม่ตามลำพังสองคน แต่นี่มีสักรินทร์อยู่ด้วย เธอจึงต้องแบกภาระเรื่องค่าสุราและเงินที่เอาไปลงในบ่อนการพนัน หนี้สินก็ตามมาจนบัวบุษยาตามใช้ไม่หวาดไม่ไหว
“ช่างมันเถอะแม่ เงินค่าดอกเบี้ยเดี๋ยวบัวไปยืมเพื่อนที่ทำงานก็ได้” บ่อยครั้งที่หญิงสาวต้องกู้เงินจากเพื่อนร่วมงานที่คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละสิบบาท ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะแพงแต่เธอก็ต้องยอมเสียเพื่อที่จะได้เงินนั้นมาใช้จ่าย
“แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษที่แม่อ่อนแอ ทำให้บัวต้องมาแบกภาระมากมายขนาดนี้” นางกล่าวขอโทษลูกสาว ใบหน้าเจ่อนองไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจและสงสาร เงินเดือนแต่ละเดือนลูกสาวของนางแทบไม่ได้ใช้เลย พอเงินออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ประดังเข้ามา ทั้งค่าดอกเบี้ยเรื่องบ้าน ค่าเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่หยิบยืมมาก็ต้องจ่าย ไหนจะค่าใช่จ่ายแต่ละวันอีก แทนที่จะมีเงินเหลือไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวก็แทบจะไม่มี ที่ใส่อยู่ทุกวันนี้ก็ใส่มานานหลายปีแล้ว