บทที่1 (1)
บทที่1
ร่างสูงระหงของหญิงสาวนางหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านขายยา เธอต้องการยาแก้ไข้เพื่อจะเอาไปให้ยายที่นอนป่วยอยู่ที่ห้องเช่า แต่จนใจเหลือเกินที่เวลานี้เธอมีเงินเหลือติดตัวไม่ถึงสามสิบบาท เธอกำธนบัตรที่ยับยู่ยี่และเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
สองจิตสองใจว่าจะเอายังไงดีกับเงินเพียงแค่นี้ และยาที่จะต้องซื้อ
“ป่าน เธอมายืนทำอะไรอยู่ที่นี่”
เสียงหวานทักอยู่เบื้องหลัง ปานพรที่กำลังละล้าลังหันขวับมามองด้วยความตกใจ “ณัฐ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันตกใจหมด”
“มาเมื่อเธอเห็นนี่แหละ แล้วเธอล่ะ ยังไม่บอกเลยว่ามาทำอะไรที่นี่” หญิงสาวผู้มีนามว่าณัฐนารีถามย้ำอีกครั้ง
“เฮ้อ” แทนที่จะตอบคนถูกถามกลับถอนหายใจเสียงดัง “ฉันจะมาซื้อยาให้ยายอ่ะ แต่ว่าไม่มีเงิน” เธอตอบอย่างไม่อายว่าไม่มีเงิน พลางแบมือที่มีแบงค์เก่าๆ ให้เพื่อนสาวดู
ณัฐนารีเหลือบตามองมือของเพื่อนรักเห็นว่าคู่สนทนากำธนบัตรใบละยี่สิบบาทก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ“จะซื้อยาอะไรล่ะ ยายเป็นอะไรเหรอ ตามฉันมานี่เถอะ”
“เป็นไข้จ้ะ” ป่านหรือปานพรตอบพร้อมกับเดินตามร่าง เพื่อนสาวเข้าไปในร้านขายยา“เมื่อวานไปขายของแล้วเจอฝน”
“ยายแก่มากแล้วอย่าใช้งานให้หนักสิจ้ะเพื่อน”
“ทำไงได้บ้านเรามันจนไม่ได้รวยเหมือนบ้านณัฐ” คำพูดของปานพรเหมือนจะน้อยใจแต่คนฟังรู้ดีว่าไม่ใช่ ดวงตาคู่หวานเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างพินิจ “ไปทำงานกับพี่เราไหม เดี๋ยวเราให้เดือนละสองหมื่นกินอยู่กับเราเสร็จ”
“หะงานอะไรทำไมถึงได้แพงขนาดนั้น”
“งานง่ายๆ สบายๆ เป็นเลขาพี่ชายเราเอง”
“ขอคิดดูก่อนนะ เงินเดือนแพงขนาดนี้คงจะไม่ใช่งานสบายอย่างที่เธอพูดหรอกมั้งณัฐ” หญิงสาวตอบเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับซองยาที่คนขายยาจัดยาแก้ไข้ให้ โดยมีณัฐนารีเป็นคนจ่ายเงิน “ขอบใจมากนะกับยาถุงนี้ ถ้ามีโอกาสจะขอแทนคุณ”
“อย่าพูดเหมือนยาราคาไม่ถึงร้อยแพงขนาดนับเป็นบุญคุณเลย ฉันขอตัวก่อนนะไว้พบกันใหม่ นี่คือนามบัตรของฉัน ถ้าตัดสินยังไงก็โทรมานะ”
“ขอบใจจ้า” ปานพรกล่าวจบก็ยกมือขึ้นโบกให้เพื่อนที่เดินจากไป แล้วหันหลังกลับเดินย้อนไปทางเก่าเพื่อกลับบ้าน คิดถึงข้อเสนอที่ณัฐนารียื่นมาให้ เงินเดือนๆ ละสองหมื่นสมัยนี้ไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ถ้าเธอไปทำยายของเธอก็คงจะไม่ลำบาก ความเป็นอยู่ก็คงจะ ดีขึ้น
แกรกๆ
ในขณะที่หญิงสาวกำลังคิดถึงผลได้ผลเสียกับงานเลขาที่เพื่อนสาวเสนอให้อยู่นั้น ขาสองข้างของเธอก็เป็นอันต้องหยุดชะงักลงเพราะเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น และกระแทกเบาๆ ที่หลังเท้าเธอ
หญิงสาวหยุดเดินแล้วก้มลงมองก็พบว่าเจ้าสิ่งที่ปลิวมาชนเท้าก็คือกระดาษหนังสือพิมพ์ที่มีหน้าประกาศรับสมัครงานเปิดอยู่
ปานพรก้มลงหยิบขึ้นมาดูโดยอัตโนมัติ ประกาศรับสมัครพี่เลี้ยงคนตาบอด อายุระหว่างยี่สิบสามถึงสามสิบปีคุณสมบัติต้องจบมัธยมศึกษาปีที่สามขึ้นไป รูปร่างหน้าตาพอดูได้ หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ เมื่ออ่านบทความที่ลงไว้จนจบจากนั้นกระดาษในมือของเธอก็ถูกกระชาก ปานพรเงยหน้าขึ้นมองคนแย่ง
“หนังสือเขามีไว้ขายไม่ได้มีไว้ให้ยืมอ่านกันนะ”
“ก็รู้ว่ามีไว้ขาย แต่หนังสือมันปลิวมาเองนะฉันไม่ได้ไปหยิบมาซักหน่อย” หญิงสาวเถียง
“เชอะเหม็นสาบพวกคนจน”
เมื่อเห็นว่าเถียงไม่ออก เจ้าของร้านจึงสะบัดหน้าจากไปพร้อมกับหนังสือพิมพ์เจ้าปัญหา ปานพรโครงศีรษะไปมา มนุษย์ทุกวันนี้เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น เหยียดหยันคนที่จนกว่าเหมือนกับว่าไม่ใช่คน
หญิงสาวคิดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดมาเป็นแบบนี้ มีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม ถึงใครจะมองเธอต่ำต้อยแค่ไหนแต่เธอจะต้องอดทน สักวันหนึ่งเธอกับยายคงจะมีวันได้เชิดหน้าเป็นคนเต็มคนกับเขาบ้าง
เธอหยุดความคิดลงเมื่อนึกถึงข้อความประกาศรับสมัครงาน ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง เธอจำหมายเลขสิบหลักของเบอร์โทรที่อยู่ใต้กรอบประกาศหาพี่เลี้ยงดูแลคนพิการได้
ปานพรไม่หยุดคิดนานเธอรีบหยิบมือถือรุ่นปุ่มกดราคาถูกที่อยู่ก้นกระเป๋า มากดหาเบอร์ที่จำได้อย่างขึ้นใจทันที เสียงปลายสายดังอยู่ไม่นานก็มีคนรับ
/ฮัลโหลบ้านสุขใจค่ะ/
“อ่า ที่นั่นรับสมัครพี่เลี้ยงดูแลคนตาบอดใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามออกไปลุ่นๆ เพราะคิดหาคำดีๆ ไม่ออก
/ใช่ค่ะคุณจะสมัครหรือคะ ถ้าอย่างนั้นบอกชื่อนามสกุลมาเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะจดไว้แล้วพรุ่งนี้คุณก็มาสอบสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ/
“ค่ะ ชื่อปานพร นามสกุลอุ่นรัก”หญิงสาวบอกชื่อไป ก่อนจะกดวางเมื่ออีกฝ่ายรับทราบ เธอรีบเดินกลับบ้าน ป่านนี้ยายจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ เธอหวังว่าแค่กินยาชุดนี้ยายก็จะหายโดยไม่ต้องไปหาหมอ