บทที่ 4
“สายข่าวของข้ารายงานมาว่าแม่นางไป๋ผู้นั้นมีวิชาผีเสื้อหลับใหล นับเป็นวิชาร้ายกาจประจำตระกูลไป๋ ที่หากนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการปล้นสะดมผู้คนก็ชั่วช้าไม่ต่างกับโจรป่า หากแต่ครานี้นางมิได้เป็นผู้ลงมือเอง เพียงแต่ว่า…” เจ้าของหออวิ๋นเหอเว้นจังหวะการพูด แล้วกวาดตามองทุกคนภายในห้องทรงอักษร “นางจ้างโจรป่ามาปล้นสะดมเหล่าบุรุษที่กล้าปฏิเสธการแต่งเข้าตระกูลไป๋”
“ว่าอย่างไรนะ!?”
“ตามที่ข้าได้รับรายงานมาก็เป็นเช่นนี้” ชางเฉิงย้ำเสียงเรียบ เพราะผู้ที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในเมืองเป่ยกลับไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้น หรือทุกข์ร้อนต่อข่าวคราวจากเขาเท่าใดนัก
“ในฐานะผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยในเมืองเป่ย เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรบ้างรุ่ยชาง” ฮ่องเต้เอ่ยถามน้องชายของตน ทว่าอีกฝ่ายกลับเอนตัวไปทางด้านหลังเพื่อหาที่พิงด้วยสีหน้าคาดเดายาก
“เรื่องของนาง ข้าต้องเป็นผู้จัดการเอง”
“เจ้าจะแต่งเข้าตระกูลไป๋ของนางหรือ” ลี่ชินอ๋องเอ่ยถามน้องชายร่วมพระบิดา
“มีวิธีตั้งมากมายที่จะจัดการกับนาง เหตุใดข้าต้องใช้วิธีตื้นเขินนำพาความยุ่งยากมาไว้ข้างตัวด้วยเล่า สิ่งที่นางต้องการก็แค่บุรุษที่พร้อมจะแต่งเข้าตระกูลไป๋เองมิใช่หรือ” ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในสถานที่แห่งนี้เอ่ยถาม “ข้าก็แค่จัดหาบุรุษสักคนให้นาง มันจะยากตรงที่ใด”
“ยากน่ะยากแน่” ชางเฉิงที่มีสายข่าวกว้างขวางกว่าใครขัดขึ้น
“นางมีข้อแม้อย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้อแม้ของนางแม้จะไม่ยากนัก แต่ก็ไม่ง่ายเลยสักนิด”
คำพูดของเหอชางเฉิงส่งผลให้บุรุษทั้งสี่ที่รอฟังขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
“บุรุษที่จะแต่งเข้าตระกูลไป๋ต้องเป็นบุรุษชาติตระกูลดี มีความรู้ความสามารถทั้งการค้าและการสู้รบ นอกจากนั้นยังต้องรูปงามคู่ควรกับนาง และแม้จะเก่งกาจเรื่องภายนอกเพียงใด แต่เรื่องภายในสำนักภูผาโลหิตเขาต้องเชื่อฟังนางแต่เพียงผู้เดียว เรียกง่ายๆ ก็คือ…”
“เป็นประมุขสำนักภูผาโลหิตแค่ในนาม” รุ่ยชางพูดต่อ
“ใช่ สิ่งที่แม่นางไป๋ต้องการมากที่สุดก็คือสิ่งนี้ล่ะ”
ชินอ๋องหลงลี่หนงบิดเบ้ริมฝีปากหนาด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด ก่อนจะโบกมือไปมากลางอากาศราวกับกำลังขับไล่แมลงวี่แมลงวันออกไปให้พ้นตัวอย่างไรอย่างนั้น
“ทั่วทั้งแผ่นดินต้าหลงแห่งนี้ ไม่มีบุรุษคนใดเต็มใจเป็นรองสตรีตัวเล็กๆ หรอกนะ นางน่ะ หวังสูงเกินไปแล้ว”
“ใช่ ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของน้องสี่” แม่ทัพเหอที่เงียบอยู่นานเอ่ยสนับสนุนความคิดของหลงลี่หนง
“อืม ข้าก็เห็นด้วยกับลี่หนง”
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงคิดเช่นนั้น…
ชาวต้าหลงยึดถือธรรมเนียมบุรุษเป็นใหญ่สตรีเป็นรอง หาได้มีความเท่าเทียมอันใดกันไม่ หากนางต้องการบุรุษที่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของนางถึงเพียงนั้น นางอาจจะต้องตายแล้วเกิดใหม่ไปอีกหลายภพหลายชาติเชียวล่ะ เพราะในอาณาจักรต้าหลงแห่งนี้ คงไม่มีบุรุษผู้ที่นางต้องการอย่างแน่นอน
“ความคิดพิลึกพิลั่นปานนั้น ต่อให้งามปานล่มเมืองข้าก็ไม่เอาด้วยหรอก” ลี่หนงบอกกลั้วหัวเราะ และไม่วายส่งสายตาไปทางน้องชายร่วมพระบิดาของตน “เจ้าสนใจปราบพยศนางหรือไม่”
“นางไม่ใช่ม้า เหตุใดข้าต้องปราบพยศ” รุ่ยชางเลิกคิ้วถาม
“แล้วเจ้าจะจัดการเช่นไรกับนางล่ะรุ่ยชาง สำนักภูผาโลหิตอยู่ในเขตการปกครองของเจ้า อย่างไรเจ้าก็ต้องรับหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยของราษฎรอยู่แล้ว ข้ายกเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน อย่าให้นางสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนของข้าเด็ดขาด” ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยวาจาเฉียบขาด ก่อนจะถามไถ่ถึงเรื่องราวจากเมืองอื่นๆ บ้าง
ส่วนคนที่ได้รับมอบหมายงานใหญ่ก็ได้แต่ครุ่นคิดวิธีเก็บกวาดสำนักภูผาโลหิตอยู่ในหัว
เหตุที่เขาต้องลงมือถึงขั้นเก็บกวาดนั่นก็เพราะในความคิดของเขา สตรีเป็นเพศที่มักสร้างความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งนางยังเป็นสตรีที่มีวิชามารร้ายกาจถึงเพียงนั้น หากไม่เป็นมิตรด้วย ก็ต้องเป็นศัตรู และถ้าหากเป็นศัตรู ประชาชนในเมืองเป่ย คงจะต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้าเพราะสตรีไม่รู้ความผู้นั้นเป็นแน่
อา… แล้วเขาจะต้องใช้วิธีใดในการเก็บกวาดสำนักภูผาโลหิตกัน
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงเรียกของญาติผู้พี่ที่เขานับถือเป็นพี่ใหญ่ดังเข้ามาในโสตประสาท
“มีอันใดหรือพี่ใหญ่”
“ความจริงคนของข้าวาดภาพเหมือนของนางมาด้วย แต่เมื่อครู่เจ้าพวกปากดีอย่างพี่รองและพี่สี่ของท่านอยู่ด้วย ข้าก็เลยไม่ได้นำรูปวาดของนางออกมาให้ท่านดู”
เหอชางเฉิงบอกพร้อมกับส่งม้วนผ้าไหมผืนหนึ่งมาให้เขา รุ่ยชางจึงได้สังเกตเห็นว่ายามนี้ภายในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้มีเพียงเขาและนายท่านเหออยู่ด้วยกันตามลำพัง
“รูปวาดของแม่นางไป๋หรือ”
“อืม งดงามสมคำร่ำลือเชียวล่ะ”
รอยยิ้มสุขุมแต่งแต้มขึ้นมาบนใบหน้าของเจ้าของฉายา รอยยิ้มพิฆาตบุปผา สายหนึ่ง ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนกลับมาเรียบเฉยดังเดิม ราวกับว่าบุรุษรูปงามมิเคยแย้มยิ้มมาก่อนอีกครา
“ขอบใจพี่ใหญ่”