บทที่ 3
รัชศกหย่งเหวิน ปีที่สาม
แผ่นดินต้าหลงเป็นปึกแผ่นมั่นคงไร้เสี้ยนหนาม ราษฎรชาวต้าหลงยึดอาชีพทำมาค้าขายเป็นหลักเหมือนดังเมื่อครั้งอดีต จะเปลี่ยนแปลงไปสักหน่อยก็ตรงที่ ฮ่องเต้หลงหย่งเหวิน ทรงมีคำสั่งผูกสัมพันธไมตรีกับแคว้นข้างเคียงมากขึ้นกว่ารัชสมัยของพระบิดา
เหตุนี้เองวังหลังของพระองค์จึงเต็มไปด้วยสาวงามมากมายที่ถูกส่งมาพร้อมกับเครื่องราชบรรณาการ เดือดร้อนบรรดาท่านชายและขุนนางใกล้ชิดทั้งหลายให้ต้องรับสมรสพระราชทานไม่เว้นแต่ละเดือน
และสาเหตุที่พระองค์ต้องแบ่งปันสาวงามด้วยการมอบสมรสพระราชให้เหล่าท่านชายและขุนนางนั่นก็เป็นเพราะน้องชายต่างมารดาทั้งสองพระองค์ที่ดำรงตำแหน่งชินอ๋อง ได้แก่ หลงลี่หนง และ หลงรุ่ยชาง ไม่ประสงค์จะรับพวกนางเข้าวัง
ทางออกของพระองค์จึงมีไม่มากนัก ก่อนที่หญิงงามเหล่านั้นจะทำให้วังหลังที่มีสนมนับร้อยปั่นป่วนไปมากกว่านี้
“เฮ้อ…”
เสียงถอนพระปัสสาสะดังขึ้น ณ ห้องทรงพระอักษรของโอรสสวรรค์ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องทรงงานสำหรับ ฮ่องเต้หลงหย่งเหวิน ชินอ๋องหลงลี่หนง ชินอ๋องหลงรุ่ยชาง แม่ทัพเหอลี่หมิน และนายท่านเหอชางเฉิง แห่งหออวิ๋นเหออันเลื่องชื่อ
การปรึกษาหารือกันในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดร่วมหารือด้วยนอกจากบุรุษทั้งห้าที่ผูกสมัครรักใคร่กลมเกลียวกันราวกับพี่น้องร่วมอุทร ถึงแม้ว่าสองบุรุษสกุลเหอจะเป็นเพียงสามัญชน หากแต่นับกันตามจริงแล้ว พวกเขาทั้งคู่คือพระญาติของฮ่องเต้ที่คู่ควรจะได้รับตำแหน่งท่านชาย หรือไม่ก็ตำแหน่งอ๋องสักตำแหน่ง
หากแต่เหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต ก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะได้เข้ารับตำแหน่งผู้ครองแผ่นดินต้าหลง องค์ชายสิบสองได้กระทำการสละตำแหน่งของตนและพระชายาไปเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ทั้งยังเปลี่ยนไปใช้แซ่เหอ อันเป็นแซ่เดิมของพระสนม ผู้เป็นพระมารดาขององค์ชายสิบสองหลงเซียนอวิ๋น บุตรทั้งสองของหลงเซียนอวิ๋นจึงได้ใช้แซ่เหอนับแต่นั้นเป็นต้นมา
“พี่สามถอนหายใจยาวเหยียดไปถึงเมืองหนานเช่นนี้ ไม่ทราบว่าพระสนมคนใดมิยินยอมให้ท่านร่วมหลับนอนด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องผู้มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในเมืองหนานแห่งอาณาจักรต้าหลงเอ่ยถามกลั้วหัวเราะตามประสาคนชอบแกว่งปากหาเสี้ยน และนั่นก็ทำให้เขาถูกพี่ชายร่วมพระบิดาปรายตามองมาอย่างคาดโทษ
“ยั่วโทสะข้าเช่นนี้ เจ้าอยากได้สมรสพระราชทานด้วยใช่หรือไม่”
“ไฮ๊! เก็บสตรีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาไว้ในวังหลังของเสด็จพี่จะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ วังลี่อ๋องของข้าเล็กเท่าหลืบหนู อีกทั้งชายแดนเมืองหนานยังร้อนระอุปานทะเลทราย สตรีบอบบางเช่นนั้นจะมาอยู่ได้อย่างไร” หลงลี่หนงรีบชักแม่น้ำมาปฏิเสธ แล้วลอบสบตากับน้องชายคนเล็กที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับตนด้วยสีหน้าฉงน และเอ่ยถามอีกฝ่ายแทนทุกคนอย่างคนที่ชอบการสนทนา “เมืองเป่ยมีเรื่องอันใดหรือรุ่ยชาง เหตุใดคิ้วงดงามปานภาพวาดของเจ้าถึงได้ขมวดแน่นเช่นนี้”
“กองคาราวานสินค้าของตระกูลเฟิ่งมาถึงเมืองหลวงช้ากว่ากำหนดพ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยชางตอบ และวางรายงานในมือของตนลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะเรื่องนี้มีคนที่พร้อมจะรายงานสาเหตุกับฮ่องเต้แทนเขาอยู่แล้ว
“ที่หออวิ๋นเหอมีข่าวว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ พี่ใหญ่” หย่งเหวินสอบถามข่าวจาก เหอชางเฉิง ผู้มีสายข่าวกว้างขวางอยู่ทั่วอาณาจักรต้าหลง
“คนของกระหม่อมรายงานมาว่าเป็นฝีมือของสำนักภูผาโลหิตพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?” เสียงแสดงถึงความแปลกใจดังมาจาก หลงลี่หนง
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักภูผาโลหิตเป็นสำนักของเหล่าจอมยุทธคุณธรรมไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้สร้างความวุ่นวายให้กองคาราวานของตระกูลเฟิ่งได้เล่า” แม่ทัพเหอลี่หมิน ผู้ดูแลชายแดนทางฝั่งตะวันออกเอ่ยถามพี่ชายร่วมอุทรด้วยความสงสัย
“ก่อนหน้านั้นสำนักภูผาโลหิตก็เป็นดังที่เจ้าได้ยินมา แต่สายข่าวของข้ารายงานมาว่าตอนนี้ภายในสำนักเกิดการแบ่งฝักฝ่าย อีกทั้งเจ้าสำนักคนใหม่ยังไม่เป็นที่ยอมรับของบุรุษส่วนใหญ่ในสำนักด้วย”
“ไม่เป็นที่ยอมรับของบุรุษ ก็แปลว่า…”
“นางเป็นสตรี” หลงรุ่ยชาง ช่วยเติมประโยคให้
ชางเฉิงพยักหน้ายืนยันคำตอบ ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเคยพบนางหรือไม่”
“ข้าไม่เคยพบนางขอรับ แต่ผู้คนในเมืองเป่ยที่เคยพบนางต่างร่ำลือถึงความงามของสตรีแซ่ไป๋ผู้นั้นไม่ขาดปาก บุรุษมากมายอยากแต่งนางเข้าสกุล แต่กิตติศัพท์ความร้ายกาจของสตรีผู้นั้นก็หาได้น้อยหน้าไปกว่าความงามของนางไม่” รุ่ยชาง บอกอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาไม่อยากพาตัวเองไปข้องแวะกับสตรีให้มากความ
“บุปผางามไม่มีหนามก็มีพิษ” หลงหย่งเหวินที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น
“เหมือนบรรดาสนมของเสด็จพี่น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลี่หนงแกล้งว่ากลั้วหัวเราะ ทำให้เขาถูกฮ่องเต้ถลึงตาใส่อีกครา
เมื่อห้องทรงอักษรตกอยู่ในความสงบ ผู้เป็นโอรสสวรรค์จึงได้เอ่ยถามถึงหัวข้อสนทนาเดิมด้วยความสงสัย
“แล้วแม่นางไป๋ผู้นั้นมีเรื่องบาดหมางอันใดกับพ่อค้าตระกูลเฟิ่งหรือ เหตุใดนางจึงต้องทำให้กองคาราวานของตระกูลเฟิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงช้ากว่ากำหนดด้วยเล่า”
“มิใช่แค่เพียงตระกูลเฟิ่งหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” นายท่านเหอบอก
“หมายความว่าอย่างไรหรือพี่ใหญ่”