ตอนที่ 9 ช่วยได้ทัน
“ปล่อย ฉันไม่ได้ขาย” ถูกลากไปยังลานจอดรถเป็นที่มีแสงไฟพอประมาณ ร่างแน่งน้อยถกเท้าด้วยความเร็วแม้จะไม่อยากเดินตามผู้ชายแปลกหน่าคนนี้เลยสักนิด ตาหวานดึงหมวกแก๊บออกจากศีรษะอยากรู้ว่าลูกค้าท่านนี้เป็นใครแล้วจะลากเธอไปทำไม่ดีไม่ร้ายอย่างไอ้เสี่ยหื่นพวกนั้นหรือเปล่า แต่ต้องตกใจอีกรอบเมื่อลูกค้าท่านนี้คือประธานชนินธร เธอจำแทบไม่ได้เมื่อคนแก่กว่าสวมเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนรองเท้าผ้าใบ ชายหนุ่มถอดแว่นตาดำมองตาหวาน คนตรงหน้าเปียกทั้งตัวยิ่งกว่าโดนน้ำฝน
“บอสชนิน” ในครั้นที่ตลึงเมื่อเจ้านายมาโผล่ที่นี่ ก็ต้องหันไปมองตามเสียงที่กำลังมีชายฉกรรจ์วิ่งกรูมาพร้อมกัน ลูกน้องเสี่ยหื่นตามมาเอาคืนให้เจ้านาย ด้วยความตกใจของชนินธรนึกว่าเรื่องนี้มันจะจบรีบจูงมือตาหวานวิ่งไปด้านหน้าที่จอดรถไว้แล้วขับออกไปในเวลากระชั้นชิดทั้งขวดทั้งหินลอยมากระทบหน้าต่างฝั่งคนนั่งจนแตกร้าว
“อร๊าย” ตาหวานหวีดร้องเมื่อก้อนหินอันใหญ่ฟาดทะลุเข้ามาตกลงหน้าตักพอดี โชคดีที่ไม่โดนหัวหรือเลยไปโดนชนินที่กำลังขับรถออกมาด้วยความเร็ว เมื่อออกมาได้สักระยะเจ้าของรถตบไฟเลี้ยวจอดริมฟุตบาทเปิดไฟในตัวรถสำรวจตาหวานด้วยความตกใจเช่นกัน
“บี๋ เป็นอะไรหรือเปล่า” ช้อนใบหน้าสำรวจดูว่ามีแผลไหม ทว่าทุกอย่างก็ปกติมีเพียงอาการตื่นตระหนกบ่งบอกถึงความกลัวอย่างสุดขีด เมื่อได้สติคล้ายกับว่าชายหนุ่มมีอาการลนลานเผลอเรียกอดีตคนรักด้วยสรรพนามที่เคยใช้เรียกกันมาตลอด 7 ปีและหยุดใช้มันเมื่อสถานะทั้งสองได้แปลเปลี่ยนเป็นแค่คนรู้จัก
“ฉันไม่เป็นไร” การแทนตัวเองด้วยน้ำเสียงห่างเหินทำให้ชนินธรต้องดึงสติและถอยห่างออกมา จากนั้นก็ขับรถต่อไปยังบ้านของเพื่อนชายคนสนิทอย่างธารทัพ
“มึงมาทำอะไรดึกขนาดนี้” ออกมาเปิดประตูแล้วยื่นกุญแจบ้านอีกหลังที่ชนินธรมักมาใช้นอนบ่อยๆ
“ดึก กูขี้เกียจขับรถ” เมื่อธารทัพเห็นตาหวานเดินลงจากรถก็ต้องอ้าปากค้าง สองคนนี้มาด้วยกันได้ยังไง ทั้งสภาพของตาหวานก็เละเทะเปียกไปทั้งตัว แม้จะมีคำถามในหัวธารทัพเมื่อมองหน้าเพื่อนสนิทก็เข้าใจว่าคงไม่สมควรแก่การถามและรอโอกาสเหมาะค่อยว่ากันจะดีกว่า
“มึงมีเสื้อผ้ามาไหม” ชนินธรส่ายหน้า จากนั้นธารทัพย้อนกลับเข้าไปในบ้านหยิบเสื้อลำลองของตัวเองและแฟนสาวออกมาให้คนทั้งสองที่ยืนรอหน้าบ้าน
“พาฉันมาทำไม”
“ดึกแล้ว ขืนขับต่อเจอด่านทำยังไง” ชนินธรเองก็ดื่มมาพอสมควรถึงได้หัวร้อนฟาดขวดเหล้าแตกคามือขนาดนั้น
“งั้นฉันนั่งแท็กซี่กลับเอง” หากยังอยู่ที่ผับหลังเลิกงานจะติดรถน้องที่ทำงานมาด้วยทุกครั้งเพราะเป็นทางผ่านบ้านตาหวานพอดี ทว่าวันนี้ถูกพามาคนละทางกับทางกลับบ้าน หากจะกลับมีทางเดียวคือต้องนั่งแท็กซี่
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกตาหวาน” เอ่ยออกมาเช่นนั้นแล้วเดินนำเปิดประตูบ้านเปิดไฟ โดยที่อีกฝ่ายยังเดินต่อเท้าสั้นๆ ไม่ถึงสักที ชนินธรทั้งง่วงทั้งเมาและอยากล้มตัวนอนเต็มที่ก็ต้องนั่งรอบนโซฟาให้คนตัวเล็กโผล่เข้ามาในบ้าน
“ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า” ยื่นชุดให้ตาหวานได้ไปล้างตัวจากคราบเหล้าที่เหม็นทั้งเหนียวไปทุกส่วน
“คุณตามฉันไปเหรอ” คราวนี้ไม่เรียกบอส ทำคนฟังหงุดหงิดใจที่ถูกเรียกเช่นนี้
“ไม่ได้ตาม”
“ไม่ตาม แล้วทำไม” ยังถามไม่จบประโยคชนินธรก็แทรกขึ้นทำตาหวานยังอ้าปากค้าง
“ฉันไปนั่งตามประสาคนโสด มันแปลกตรงไหน” แปลกตรงที่ไปคนเดียว เท่าที่รู้ชนินธรรักการดื่มกับเพื่อนๆ ชอบสังสรรค์กันเป็นกลุ่มใหญ่
“แต่ก่อนไม่เห็นนั่งคนเดียว”
“ก็นั้นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้มันก็ต้องอยู่คนเดียวให้ชิน” หยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกง คาบมันเข้าปากและจุดไฟดูดสารนิโครตินต่อหน้าตาหวาน เป็นภาพสะท้อนย้อนไปหลายปีปรากฏบนดวงตาของคนมอง