บทนำ บีบคั้น
“ผู้มาตีกลองร้องทุกข์เป็นใคร”
“ข้าน้อยแซ่โหยว นามว่ากู่โหม่วขอรับ”
“ต้องการร้องทุกข์เรื่องใด”
“ข้าน้อยต้องการหย่าภรรยาโดยใช้ข้อหาเจ็ดขับขอรับ”
วาจาของสามีดังก้องเข้ามาในหัวเสียนอี่ระลอกแล้วระลอกเล่า นางพยายามฝืนทนกลั้นน้ำตามิให้รินไหล เขาทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร เพียงนางมิยอมสละตำแหน่งภรรยาเอกไปเป็นอนุให้เขา เขาถึงกับลากนางมาฟ้องศาล คิดใช้ข้อหาเจ็ดขับกับนางเชียวหรือ เวลาสิบกว่าปีที่อยู่กันมาไม่มีค่าอันใดเลยหรือ โหยวกู่โหม่วเจ้าใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว
“ภรรยาของเจ้าทำผิดข้อหาใด”
“นางไม่มีทายาทสืบสกุลให้ข้าน้อยขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะตัดสินให้เจ้าหย่าขาด...”
“รอประเดี๋ยวเจ้าค่ะ” เสียนอี่ไม่รอให้นายอำเภอกล่าววาจาจนจบ ก็รีบชิงเอ่ยขัด นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ไม่เข้าใจ ว่าไฉนใต้เท้าผู้นี้ ยังมิไต่ถามนางสักคำ ก็จะตัดสินคดีเสียแล้ว เช่นนี้ไม่ถูกต้อง
“ใต้เท้าเจ้าคะ ใต้เท้าจะไม่ไต่ถามข้าน้อยสักคำหรือเจ้าคะ”
“คดีเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องไต่ถาม เรื่องมีบุตร ไม่มีบุตร ย่อมมิอาจนำมาหลอกลวงกันได้”
“ข้าน้อยทราบเจ้าค่ะ ว่าเรื่องมีบุตรไม่มีบุตร มิสามารถเอามาหลอกลวงกันได้ แล้วกฎสามไม่หย่าเล่าเจ้าคะ ใต้เท้ามิคิดจะถามข้าน้อยบ้างเลยหรือ”
ใบหน้านายอำเภอพลันชะงักงัน หันไปสบตาโหยวกู่โหม่ว สีหน้าคล้ายกับคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
เมื่อมีกฎ สามไม่หย่า โหยวกู่โหม่วจึงมิอาจใช้กฎเจ็ดขับกับนาง ทว่านายอำเภอกลับใช้อำนาจบีบบังคับให้นางหย่าอยู่ดี คำตัดสินของเขา คือนางต้องตั้งครรภ์ภายในหนึ่งปี และโหยวกู่โหม่วห้ามบกพร่องหน้าที่สามี
หกเดือนหลังจากนั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหกเดือนก่อน ผุดขึ้นในหัวของเสียนอี่เป็นฉากๆ นางพึ่งจะมารู้ภายหลัง ว่าที่แท้สตรีที่โหยวกู่โหม่วคิดจะแต่งเข้ามาแทนนาง คือบุตรสาวนายอำเภอ คนพวกนั้นถึงได้รวมหัวกันมาบีบคั้นนาง
“ฮูหยิน ชักช้าไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ รีบตัดสินใจเถิด อีกสี่เดือนจะครบหนึ่งปีแล้ว หากท่านยังไม่ตั้งครรภ์อีก นายท่านต้องขับท่านออกจากจวน แล้วแต่งสตรีนางนั้นเข้าจวนแน่เจ้าค่ะ”
เสียนอี่หลั่งน้ำตาออกมาเป็นสาย อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ กระทั่งได้แต่งเป็นสามีภรรยา จากฐานะยากจน ตอนนี้ร่ำรวยแล้ว ไม่นึกว่าสามีจะนำเรื่องที่นางไม่ยอมตั้งครรภ์มาขอหย่า ความดีของนางเขากลับมิเคยพูดถึง
เมื่อครั้งโหยวกู่โหม่วแต่งกับนาง เขายังเป็นเพียงจับกังทำงานท่าเรือ ครอบครัวเหลือเพียงบิดาขาพิการ
เป็นนางแนะนำให้เขาออกมาทำการค้า เริ่มจากการจับสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ตามหมู่บ้านไปเร่ขายตามเมืองต่างๆ เพียงปีเดียวก็มีเงินซื้อร้านค้าเป็นของตัวเอง จากหนึ่งร้าน เพิ่มเป็นสองร้าน จนถึงตอนนี้มีแปดร้านแล้ว นั่นยังไม่นับที่ดินอีกนับพันหมู่ที่ปล่อยให้เช่า จากจับกังกลายเป็นเถ้าแก่โหยว พอร่ำรวยมีหน้ามีตาคนก็เริ่มเปลี่ยนไป
นี่ผ่านมาหกเดือนแล้ว ท้องของนางยังไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อย เสียนอี่ถูกบีบคั้นจนสิ้นหนทางแล้วจริงๆ
“ฮูหยิน ท่านต้องทำนะเจ้าคะ”
เสี่ยนอี่ยกผ้าขึ้นซับน้ำตา ในเมื่อเขายังกล้าใจร้ายใจดำกับนาง นางยังจะสนใจเขาไปเพื่ออันใด มิสู้รักษาสมบัติที่ตนสร้างมาไม่ดีกว่าหรือ
แววตาของเสียนอี่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ลุกขึ้นยืนแผ่นหลังตั้งตรง เดินไปยังห้องด้านข้าง
“ดูต้นทางไว้”
“เจ้าค่ะ”
นางเปิดประตูเข้าไป ก่อนจะหมุนตัวกลับมาปิด จากนั้นเดินไปงับหน้าต่างทุกบานในห้อง
บุรุษบนเตียงละสายตาจากตำราในมือ เงยหน้าขึ้นมามองนาง เขาวาดมือวาดไม้ถาม
เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?
เสียนอี่ปรนนิบัติชายผู้นี้มาสี่ปี ย่อมรู้ภาษามือที่เขาต้องการจะสื่อ
“ข้ามีเรื่องต้องให้ท่านพ่อช่วยเจ้าค่ะ” เสียนอี่บอกกับเขาหน้าเศร้า ตั้งแต่นางแต่งเข้ามา นางดูแลชายผู้นี้มาโดยตลอด เขาคือพ่อสามีขาพิการของนาง
โหยวกู่เลี่ยวเคยเป็นทหาร ไปรบแล้วถูกจับเป็นเชลย กระดูกขาตั้งแต่ข้อเท้าไปจนถึงหัวเข่าถูกทุบจนพิการ ถูกกรอกยาพิษจนเสียงหาย เขารอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ก็กลายมาเป็นภาระให้บุตรชาย ที่โหยวกู่โหม่วแต่งนางเข้ามา ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้มาช่วยดูแลบิดาผู้นี้
เขาวาดมือถามนางอีก
‘มีเรื่องอันใดหรือ’
เสียนอี่สาวเท้ามาหยุดยืนข้างเตียง เล่าเรื่องระหว่างนางกับกู่โหม่วให้พ่อสามีฟัง เขาฟังแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่น คล้ายกำลังมีโทสะ ใช่ ชายผู้นี้ต้องเข้าข้างนางอยู่แล้ว เพราะมีแต่นางที่ดูแลเขา บุตรชายของเขาน่ะหรือ ปีหนึ่งเคยพบหน้าบิดากี่ครั้งกันเชียว
เสียนอี่ไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งอธิบาย นางประคองพ่อสามีให้นอนลงพลางกล่าว “ท่านพ่อ ถือว่าช่วยข้าเถิดนะเจ้าคะ”
นางไม่คิดจะบอกเขาว่าจะให้ช่วยเรื่องใด เพียงดึงผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างของเขาออก จากนั้นแก้เชือกผูกเอวกางเกงของเขา
เขาส่ายหน้า จับข้อมือนางเอาไว้แน่น
เสียนอี่หันไปบอกเขาทั้งน้ำตาว่า “ท่านพ่อคงไม่อยากให้ข้าไปหลับนอนกับชายอื่นเพื่อจะตั้งครรภ์ใช่หรือไม่เจ้าคะ ชีวิตข้าไม่เหลืออะไรแล้ว ข้าไม่อยากถูกสามีขับออกจากจวน ขอแค่ตั้งครรภ์ก็พอ ท่านพ่อช่วยข้านะเจ้าคะ”
ฝ่ามือของเขาค่อยๆ คลายออก สีหน้าแลดูเคร่งขรึมจริงจัง
เสียนอี่เห็นว่าพ่อสามียินยอมแล้ว พลันรีบแก้เชือกผูกเอวของเขาทั้งน้ำตา นางดึงเอวกางเกงของเขาลงไปไว้ที่หน้าขา จ้องความเป็นชายของเขาอยู่นาน จากนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางยื่นมือไปลูบคลำอย่างกล้าๆ กลัวๆ อันที่จริงนางแทบไม่ต้องทำอันใดเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาพิการมาสี่ปี ไม่เคยปลดปล่อย แค่ถูกนางจับจ้อง มันก็ตั้งชันขึ้นมาตั้งนานแล้ว
เสียนอี่ค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนเตียง ยกชายกระโปรงนั่งคร่อมลงบนท่อนล่างของพ่อสามี มือหนึ่งจับแท่งร้อนขนาดใหญ่จ่อเข้าที่ปากทาง ขณะที่นางทิ้งตัวลง น้ำตายังไหลพราก
ความฝืดเคืองและความใหญ่โตเกินธรรมดา ทำให้มิอาจเข้าไปโดยง่าย
เขาเห็นนางมีใบหน้าเหยเก จึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง แหวกสาบเสื้อของนางออก ค่อยๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือสะกิดลงบนยอดอกทั้งสองข้าง รอให้นางผ่อนคลายลงแล้ว ถึงได้ซุกหน้าลงไปใช้ปากแทน แขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งล้วงเข้าไปใต้กระโปรง ใช้ปลายนิ้วหยอกเย้าจุดอ่อนไหวที่สุดของสตรี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอ่อนเดียงสาเกินไปหรือว่าพ่อสามีช่ำชองเกินไปกันแน่ น้ำหล่อลื่นถึงได้หลั่งออกมามากมายเช่นนี้ มาถึงตอนนี้มันไม่ได้เข้ายากอีกแล้ว ส่วนนั้นของนางครอบครองตัวตนของเขาเข้ามาในร่างจนสุด ก่อนจะขยับสะโพกอย่างเงอะๆ งะๆ ในคราแรก แต่ไม่นานก็จับจังหวะได้
ร่างกายของนางแอ่นโค้งไปเบื้องหลัง เคลื่อนไหวช่วงล่างราวกับไม่มีกระดูก ยิ่งได้ยินเสียงหายใจถี่กระชั้นของพ่อสามี ยิ่งเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก
เสียงเตียงเริ่มลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด เสียนอี่รู้สึกหวิวในช่องท้องจนต้องเม้มปากกลั้นเสียงคราง เขารีบรั้งใบหน้างามเข้ามาจุมพิตปิดปาก สอดลิ้นเข้ามาพัวพันกับลิ้นของนาง พลางกระดกบั้นท้ายสวนขึ้นมา
ลมหายใจของพวกเราเริ่มถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เสียนอี่ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าการร่วมรักกับบุรุษ ที่แท้ยังมีความเสียวซ่านเช่นนี้อยู่ ทุกคราที่กู่โหม่วหลับนอนกับนางมักมีแต่ความเจ็บ
สะโพกกลมกลึงเริ่มขยับเร็วขึ้น กู่เลี่ยวเองดูเหมือนจะใกล้เต็มที เขาเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย จับเอวของนางไว้ ให้ส่วนนั้นถูไถกันได้ถนัดขึ้น ใบหน้าทั้งสองเริ่มบิดเบี้ยว
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังถี่ขึ้น ถี่ขึ้น ในที่สุด เสียนอี่ก็ได้สิ่งที่นางต้องการ เชื้อพันธุ์ที่ถูกกักเก็บมานานพุ่งกระฉูดเข้ามาในท้องของนาง สองร่างนั่งตระกองกอดกันหายใจหอบเหนื่อย ช่วงล่างยังคงบดเบียดถูไถเข้าหากันราวกับยังไม่ถึงที่สุด เสียนอี่หลับตาซบใบหน้าลงบนบ่ากว้างอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
ครั้นสติกลับมาครบถ้วนแล้ว พลันร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน นี่นางทำอันใดลงไป จนถึงตอนนี้ เสียนอี่ยังมิเข้าใจตนเองเหมือนกัน หากแต่นางจนปัญญาจริงๆ เป็นกู่โหม่วบีบคั้นนาง
สตรีที่ถูกหย่าโดยเจ็ดขับ ยังมิเคยมีใครมีชีวิตต่อไปได้ ไม่ผูกคอตายก็ต้องไปบวชชี นางมิอยากมีชีวิตเช่นนั้น
เขาลูบแผ่นหลังบอบบางเพื่อปลอบประโลม แววตาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกสุดหยั่ง
ทั้งสองคล้ายจะลืมไป ว่าอวัยวะสองส่วนยังเชื่อมติดกันอยู่ กระทั่งส่วนนั้นกลับมาพองตัวอีกครั้ง เสียนอี่ถึงพึ่งนึกขึ้นได้ รีบซุกหน้าลงบนบ่าพ่อสามีด้วยความอับอาย
เขาขบเม้มไปตามใบหูของนาง จับสะโพกกลมกลึงให้ขยับขึ้นลง เสียนอี่เข้าใจทันทีว่าเขาต้องการให้นางทำสิ่งใด จึงเป็นฝ่ายขยับสะโพกเสียเอง
พวกเราอยู่ในท่านั้นตั้งแต่ยามสาย เสร็จสมกันไปสี่ครา ตอนที่นางลุกออกจากร่างของเขา ยังรู้สึกได้ว่ามีของเหลวไหลทะลักออกมาตามหว่างขา ใบหน้างามพลันแดงก่ำ รีบหนีไปตักน้ำในถังหลังฉากใส่อ่างถือกลับมาเช็ดตัวให้เขา
พ่อสามีของนางเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ถึงแม้ว่าปีนี้จะอายุสามสิบเจ็ดแล้ว ทว่ากลับยังคงความหนุ่มแน่นหล่อเหลาราวกับคนอายุยี่สิบกว่า รูปร่างหน้าตาไม่มีส่วนคล้ายกู่โหม่วเลยแม้แต่น้อย
จะว่าไป ถ้าเสียนอี่ไม่รู้ว่าเขาเป็นบิดาของกู่โหม่ว ยังคิดว่าอายุของเขาไม่น่าจะถึงสามสิบด้วยซ้ำ ผิวพรรณของกู่เลี่ยวขาวเนียนละเอียด เหมือนคนมีชาติตระกูล ส่วนกู่โหม่วถึงจะขาวแต่ยังขาวไม่เท่ากับบิดา
ในอดีตกู่เลี่ยวเติบโตในค่ายทหาร ร่างกายจึงมิได้ผอมแห้งเหมือนกู่โหม่ว
คราแรกที่เสียนอี่เห็นเขา นางยังเคยตกตะลึงไปพักหนึ่งเลยทีเดียว หากคนผู้นี้มิได้พิการ ป่านนี้คงกลายเป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคน
หลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนอาภรณ์ ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้เขาแล้ว เสียนอี่รีบกลับออกจากห้องพ่อสามีทันที นางยังมิได้หน้าหนาพอที่จะมองหน้าเขาหลังจากกระทำเรื่องเช่นนั้น