บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 ละอายใจ

เมื่อเห็นสีหน้าของน้องดูไม่ดี จิรเมธก็กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด เขารีบรั้งแขนของน้องไว้ก่อนที่ตัวเองจะไออย่างหนัก แถมยังเดินเซอีกด้วย

“เมฆ! คุณเป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม” หญิงสาวผมสั้นถามอย่างเป็นห่วง พร้อมกับเอามือไปควงแขนเขาไว้เพื่อช่วยพยุง “อาการคุณยังไม่ดีขึ้นนะ คุณจะลุกเดินเร็ว ๆ แบบนี้ไม่ได้นะคะ” เธอแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน จนจิรเมธรู้สึกอึดอัด

จิรเมธดึงแขนตัวเองออกช้า ๆ อย่างมีมารยาท “ขอบใจมากนะยลดีที่เป็นห่วง แต่ผมไม่เป็นไร คุณก็กลับไปได้แล้ว” เขาบอกพร้อมกับเดินเข้าไปประชิดน้อง

จิรเมธไม่อยากสนใจยลดีอีก เขาเป็นห่วงความรู้สึกของน้องมากกว่า กลัวว่าน้องจะเข้าใจเขาผิด เขาจึงมองไปที่ถุงอาหารที่ตกอยู่ที่พื้น “อาหารพวกนี้ซื้อมาให้พี่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะไอออกมาอีกครั้ง

“คุณพ่อฝากให้เอามาให้ แต่คงกินไม่ได้แล้ว” น้องบอกโดยที่ไม่หันหน้ามามองเขา ดวงตายังรู้สึกร้อนผ่าวอยู่ด้วยซ้ำ “แต่นายคงจะกินอิ่มแล้วมั้ง อาหารพวกนั้นก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปทิ้งให้หมาข้างถนนกินก็แล้วกัน” น้ำเสียงมีการประชดเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่ายลดียังยืนอยู่ไม่ไปไหน เขาจึงเอ่ยอีกครั้ง “ยลดี คุณกลับไปได้แล้ว นี่ก็ใกล้เวลาจะเข้างานแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่งั้นเธอจะสายเอานะ” เขาพูดเหมือนเป็นห่วง แต่น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าตั้งใจไล่ชัด ๆ

“งั้นคุณก็ดูแลตัวเองให้ดีนะคะ เอาไว้เลิกงานแล้วฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่” เธอบอกพร้อมกับเดินไปหน้าประตู ในใจไม่อยากไปเลยสักนิด “ว่าแต่ ทำไมลูกสาวของท่านประธานถึงมาที่นี่ได้คะ” ก่อนจะไปยังไม่วายถามครองขวัญซ้ำอีก

เมื่อเห็นว่ายลดีทำให้น้องลำบากใจ จิรเมธจึงเป็นคนตอบแทน “เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ คุณไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้” จิรเมธตอบอย่างไม่ไว้หน้า หากเขาห่วงความรู้สึกของยลดี งั้นก็คงเป็นเขานี่แหละที่ชะตาจะขาดเอา

ครองขวัญหันมามองสายตาที่จิรเมธพูดกับยลดีด้วยสายตาอาฆาต จนจิรเมธรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที อากาศรอบข้างก็รู้สึกว่าจะหนาวเย็นขึ้นเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

ยลดีจากไปอย่างไม่พอใจ จิรเมธจึงดึงน้องเข้ามาในห้อง “หยุดมองพี่แบบนั้นได้แล้ว พี่กับคุณยลดีไม่ได้มีอะไรกัน” เขารีบแก้ตัวก่อน

ครองขวัญกำลังโวยวายใส่เขา แต่จิรเมธก็ไอขึ้นมาเสียก่อน แล้วยังไออย่างหนักด้วย น้องจึงช่วยพยุงเขาเข้าไปในห้องนอน และพาเขาไปนั่งบนเตียงอย่างใส่ใจ

“อย่าพูดแล้วก็อย่าขยับนะ ไม่งั้นฉันจะจัดการนายแน่” น้องออกคำสั่ง

จิรเมธก็นั่งนิ่งแล้วยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ

“ยิ้มทำไม? ฉันบอกให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ใช่เหรอไง”

“ก็เธอไม่ได้บอกพี่นิว่าห้ามยิ้ม” เขาเถียงแล้วก็ไอออกมาอีกครั้ง

“เห็นมั้ย ไอแล้วยังจะพูดอีก” ยัยน้องเป็นห่วง “ห้ามพูด ห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะ ห้ามทำอะไรทั้งนั้น นั่งอยู่เฉย ๆ ไปเลย” ยัยน้องตะคอกใส่อย่างไม่พอใจก่อนจะเดินออกไปเก็บอาหารที่ตกอยู่

โชคดีที่อาหารในกล่องไม่เป็นไรเพราะถูกห่อหุ้มเอาไว้อย่างดี แต่น้ำซุปที่บรรจุอยู่ในถุงนั้นไม่สามารถกินได้แล้วเพราะมันแตกไปแล้ว เมื่อเก็บอาหารมาไว้ในห้องครัวแล้ว น้องก็เดินกลับมาที่ห้องนอนของพี่อีกครั้งเพื่อจะถามว่าเขากินอะไรหรือยัง แต่คนเป็นพี่กลับถามขึ้นมาก่อน

“ว่าแต่ ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้ล่ะ? วันนี้ต้องไปทัศนศึกษาไม่ใช่เหรอ?” เขาถามอย่างสงสัย

เมื่อวานยังโมโหพ่อตัวเองขนาดนั้น ห้ามยังไงก็ยังจะไปอยู่ดี จนต้องทะเลาะกับผู้เป็นพ่อและยังจะหนีออกจากบ้านโดยการปีนหน้าต่างอีก แล้วยังทำให้เขาต้องวิ่งไล่ตามเธอจนเป็นลมหมดสติไปแบบนั้น

ครองขวัญหน้าแดงและมองไปทางอื่น “ฉัน-ฉันแค่เป็นห่วงสัตว์เลี้ยงของคุณพ่อก็แค่นั้น” ยัยน้องยังทำปากดีอีก “ฉันไม่อยากให้คนอื่นมองว่าฉันใจจืดใจดำกับสุนัขที่คุณพ่อเลี้ยงไว้ก็เท่านั้น” ยัยน้องต้องการเห็นเขาทำหน้าโมโหใส่เธออีก

จิรเมธขมวดคิ้ว ตอนนี้ยัยน้องเห็นเขาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างนั้นเหรอ? ความจริงแล้วจิรเมธควรจะโกรธที่ยัยน้องพูดกับเขาแบบนั้น แต่เขากลับมีความรู้สึกว่า ภายในใจของเขานั้นกำลังตื่นเต้นและเหมือนมีดอกซากุระกำลังเบ่งบานอยู่ในใจของเขา

อย่างน้อย ๆ เขาก็รู้สึกดีขึ้นที่ยัยน้องไม่พูดว่าเกลียดเขาอีกแล้ว แม้จะบอกว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่เป็นไร แต่แล้วเขาก็เห็นความเศร้าในดวงตาของน้อง แล้วน้องยังยืนนิ่งพร้อมกับกำมือตัวเองแน่นด้วย ใบหน้าก็แสดงความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด

จิรเมธเหมือนรู้ว่าน้องกำลังรู้สึกยังไง เขาจึงส่งยิ้มให้เธอแล้วพูด “มันไม่ใช่ความผิดของเธอ อาการแบบนี้พี่ก็เป็นบ่อย ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้อากาศข้างนอกมันร้อนเกินไปจนทำให้พี่เป็นลม”

“แต่เพราะฉันให้นายไปวิ่งเป็นเพื่อนทุกเช้า คุณหมอบอกว่านายป่วยตั้งแต่สองสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว หมอให้นายพักผ่อนและอย่าทำงานหนัก โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทำให้เหนื่อยง่าย” ยัยน้องพูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร เธอไม่รู้เสียหน่อยว่าพี่ป่วยนิ” เขาพยายามทำให้น้องรู้สึกดีและไม่โทษตัวเอง

“แต่ถ้านายบอกฉันตั้งแต่แรก นายก็ไม่ต้องมาวิ่งกับฉันทุกเช้า แล้วเมื่อวาน ฉันยังวิ่งหนีนายเร็วขนาดนั้น” ยัยน้องรู้สึกผิดจริง ๆ

เมื่อวานตอนที่ส่งจิรเมธไปที่โรงพยาบาล คุณหมอเลยบอกอาการของจิรเมธให้เดชาได้รู้ ครองขวัญจึงรับรู้อาการของพี่ไปด้วย ทั้ง ๆ ที่เขาป่วยขนาดนั้น แต่ก็ยังฝืนร่างกายตัวเองออกมาวิ่งเป็นเพื่อนเธอทุกเช้าอีก ดีนะที่ไม่เป็นลมขณะวิ่งกลางถนน

“พอแล้ว ไม่ต้องคิดมากแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ ต่อไปถ้าพี่ป่วยแบบนี้อีก พี่จะบอกเธอตั้งแต่แรกเลยดีไหม เธอจะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิดทีหลังแบบนี้อีกไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน พยายามโน้มน้าวให้น้องรู้สึกดีขึ้น

ครองขวัญจ้องหน้าพี่อย่างรู้สึกละอายใจ ตอนนี้เธอเป็นอะไร? ทำไมถึงรู้สึกหวั่นไหวกับเขา ยิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็อยากจะร้องไห้? นี่เธอเป็นอะไรของเธอกันแน่? เขาคือคนที่เธอเกลียดมาตลอด 8 ปีนะ เธอเป็นอะไร? ทำไมภายในใจถึงได้เจ็บอย่างนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel