2 อาจารย์อนาวิน
นิสิตนักศึกษาสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นส่วนสูงตามมาตราฐานเดินเข้าไปในตึกเรียนระหว่างทางเดินผ่านล็อบบี้ก็ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ที่อยู่ในมือไปด้วยเหมือนกับหลายๆคนที่กระทำในลักษณะเดียวกัน จะด้วยธุระด่วนหรือไม่ใช่ธุระก็ตามแต่ทุกคนล้วนก้มหน้าราวไม่อยากรับรู้อะไรรอบๆตัวเลย และด้วยความที่สายตาจดจ่อมัวสนใจแต่สิ่งที่อยู่ในมือจนทำให้ไม่ได้มองทางอย่างที่ควรจะเป็น อาศัยเพียงสัญชาติญาณในการก้าวเดินจึงทำให้ชนกับคนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเต็มๆแรงปะทะที่ไม่เบานักส่งผลให้หนังสือเล่มหนาหลุดร่วงลงสู่พื้นหินอ่อนในทันที ด้วยอารามกำลังตกใจพลันดวงตาสดใสสีน้ำตาลอัลมอนด์ก็เบิกกว้างพร้อมร้องอุทานออกมาเบาๆ
“โอ๊ะ! ขอโทษนะคะที่เดินชนคุณ” เสียงหวานใสกล่าวขอโทษพร้อมก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิดแล้วรีบหย่อนสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดลงไปในกระเป๋าสะพายทันทีก่อนจะก้มลงไปเก็บหนังสือเรียนเล่มหนาที่พื้น สถานการณ์ตอนนี้คือไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ว่าเขาคนนี้จะโกรธเธอไหมเพราะเขานิ่งมากทั้งสีหน้าและแววตาเหมือนว่าเขากำลังประเมินอะไรเธออยู่สักอย่าง ฮือ ไม่ได้ตั้งใจชนก็บอกไปแล้วไง โอดครวญกับตัวเอง ว่าควรรีบเดินหนีไปเลยดีไหม เขาอยากไม่ยอมพูดด้วยดีนัก แต่อีกใจก็ภาวนาอย่าให้เคืองเธอเลย
“วันหน้าวันหลังคุณควรจะเดินมองทางไม่ใช่มัวแต่กดโทรศัพท์แบบนี้นะครับ เพราะการเดินอย่างไม่ระมัดระวังมันอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงโดยที่เราไม่ทันได้คาดการณ์ ฉะนั้นจงอย่าใช้ชีวิตประมาทเป็นดีที่สุด” เสียงทุ้มนุ่มลึกกึ่งวางอำนาจนิดๆ กล่าวเตือนนิสิตสาวตรงหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังอบรมสั่งสอนเด็กไม่ประสาอย่างปรารถนาดี ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแต่อย่างใด การพูดยาวๆกับคนไม่รู้จักไม่ใช่นิสัยที่ทำเป็นประจำ ครั้งนี้อดไม่ได้ที่จะเตือนสติเด็กติดมือถือเขาเลยต้องทำสิ่งตรงกันข้ามกับนิสัย
ดวงตาสีดำคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเกิดคุ้นหน้าขึ้นมาครามครัน เขาว่าเขาเคยพบหน้าเจ้าหล่อนมาแล้วในที่ไหนสักแห่งหนึ่งหรือว่าอาจเดินสวนกัน ซึ่งเขาจำไม่ได้ว่ามันคือสถานที่ใด แวบหนึ่งของความคิดที่ผ่านเข้ามาบอกกับเขาว่าไม่น่าใช่หรอก เธอเป็นแค่คนหน้าเหมือนใครสักคนที่คุ้นหน้าเท่านั้นจะไปคิดอะไรมาก
“เข้าใจไหมครับ”
“ค่ะ” หน้าม่อยๆพยักลงหงึกหงัก ริมฝีปากขบกันเบาๆ ยอมรับฟังแต่โดยดีไม่คิดที่จะเถียงเพราะสิ่งที่เขาตักเตือนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลยสักนิด คนที่ผิดเต็มๆน่ะคือเธอคนเดียวเท่านั้นและรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไรแรงๆให้เจ็บช้ำน้ำใจ ตอนพูดเขาดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีมากกว่าตอนทำหน้านิ่งๆอีก เอ ใช่สิ เขาคือใครกันนะ ใช่อาจารย์รึเปล่า ถ้าใช่นี่เธอไม่คุ้นหน้าเลย
ชายหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราอย่างพินิจพิจารณาถี่ถ้วน ผิวเนียนผุดผ่องละมุนละไม ผมยาวดกดำถึงกลางหลัง ดวงหน้ารูปไข่
คิ้วเรียวได้รูปเหมือนดั่งคันศร ดวงตากลมโตงามขลับ ลูกตามีสีอัลมอนด์ จมูกโด่ง ปากสวยอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อ ทาเพียงลิปกลอส ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่สายเลือดไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เจ้าตัวเหมือนกำลังคิดอะไรอย่างหนักพลางช้อนสายตากลมโตหวานซึ้งชวนให้จับจ้องขึ้นมาสบประสานด้วย เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะก้าวขาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่ความมั่นคงนั้นมันแฝงไปด้วยความแปลกใจในตนเองไม่น้อยที่ดันจดจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ในเวลาไม่นาน
“แกนี่ถ้าจะเป็นเอามากนะอนาวินทำยังกับไม่เคยเจอผู้หญิงสวยๆอย่างนั้นแหละ” เสียงทุ้มต่อว่าตนเองแล้วพยายามเลิกสนใจเบี่ยงเบนความคิดถึงเรื่องอื่นแทน พอลิฟต์โดยสารมาความคิดทุกอย่างก็ถูกจัดระบบใหม่กลับไปเหมือนเดิมอีกครั้ง
ประตูห้องเรียนที่เปิดกว้างเอาไว้ต้อนรับเพื่อนคนอื่นๆที่ทยอยเดินเข้ามาไม่ขาด และไม่น้อยที่ต่างจับจองพื้นที่นั่งคุยกันหน้าสลอนอย่างครื้นเครง ออกรสออกชาติราวนกกระจอกแตกรัง โดยเว้นที่ว่างตรงด้านหน้าเอาไว้ให้คนมาช้าที่ไม่มีสิทธิ์เลือก สายตาหลายคู่โดยเฉพาะหนุ่มๆพุ่งเป้ามายังนิสิตสาวสวยผิวขาวอมชมพูราวไข่มุกเนื้อดีเปล่งออร่าทอประกายเจิดจรัสให้ผู้คนสนใจที่กำลังเดินเฉิดฉายเข้ามาด้านในด้วยแววตาชื่นชมปนหลงใหลได้ปลื้มอย่างไม่มีใครเก็บอาการ ซึ่งเจ้าตัวก็โปรยรอยยิ้มหวานทักทายคนที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างอย่างไม่เย่อหยิ่งหรือถือตัวว่าสวยต้องทำหน้าเชิดแต่อย่างใด ชุดนักศึกษาที่สวมใส่ก็ไม่ได้รัดติ้วขับเน้นสรีระในส่วนใดส่วนหนึ่งมากเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ได้หลวมโพรกจนเกินไป มันพอดีกับเรือนร่างอ้อนแอ้นได้อย่างชวนมองโดยไม่ต้องเปิดเผยเนื้อตัวมาก
“สวัสดีครับจัสมินคนสวย”
“นั่งข้างเราไหม”
“หัวใจเรายังว่างนะครับจัสมิน”
“อยากไปไหว้ป๋าเธอที่บ้านจัง”
“อยากไปสวัสดีพ่อเขาถามพ่อเขารึยังว่าอยากรับไหว้แกไหม”
คนโดนแซวยิ้มรับอย่างขำๆอยากจะโต้ตอบกลับไปเหลือเกินว่าแน่ใจนะเรื่องที่อยากไปสวัสดีป๋าน่ะแต่ก็ได้แค่คิดเพียงในใจเท่านั้น พลางก้าวขายาวๆตรงดิ่งมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งคุยจ้อกันอยู่ก่อนแล้ว เธอค่อนข้างคุ้นชินกับบรรดาหนุ่มๆทั้งหลายที่คอยแต่จะแจกขนมจีบแบบไม่จริงไม่จังหรือบางคนอาจจะจริงแต่เธอไม่รับรู้เพราะจัสมินคนนี้ไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษ
“วันนี้มาช้านะจ๊ะคุณหนูจัสมินคนสวย แถมเสียงแซวยังเกรียวกราวเหมือนเดิมจนใครบางคนแถวนี้อิจฉาจนตาเหลือกแทบทุกวันอีกเช่นกันเพราะอยากให้ผู้แซวแต่ผู้ดันเมินนางชนิดไม่เหลียวแลให้ชุ่มชื่นในหัวใจ”
“หือ ดาด้าจ๋าคนสวยช้านิดหน่อยเองส่วนเสียงแซวน่ะไม่อยากได้เลยจริงๆ อยากให้หันมาแซวกัสกันมากกว่าเพราะรู้ว่าเพื่อนชอบปู้จายเข้าขั้นสูงสุดทั้งที่ตัวเองก็ยังแม้นแมน” สายตาซุกซนของจัสมินมองสำรวจเนื้อตัวเพื่อนชายแม้นแมนแต่ตัวแล้วหัวเราะคิกเมื่อเจอตัวดสายตาแบบนางร้ายในละครใส่
“จ้ะ แม่คนสวยใสไร้ที่ติเตียน กุลสตรีสูงส่ง วันนี้ซีลอนสุดหล่อของฉันมาไหมคะว่าที่พี่ผัวขา ไม่เห็นหน้าน้องมาหลายวันคิดถึงม๊ากมาก” เสียงห้าวที่ดัดให้หวานหยดยิ่งกว่าผู้หญิงแท้หลายคนยังอายสอบถามถึงน้องชายเพื่อนสนิทที่หล่อใสน่าขยุ้มน่าขย้ำและน่าดูเอ็นที่สุด ไม่ใช่ๆ น่าเอ็นดู ถ้าได้เคี้ยวคงกรุบกริบน่าดู อ๊าย
“เว้นน้องชายของฉันเอาไว้คนหนึ่งได้ไหมกัสจัง น้องสะใภ้ที่คลอดหลานให้ออกมาเล่นด้วยไม่ได้ไม่อยากมีจ้ะ ฉันต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ
พ่อรูปหล่อจ๋า อีกอย่างป๋ากับมามี๊ท่านก็คงไม่ปลื้มเหมือนกันนั่นแหละที่จะได้ลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เพราะฉะนั้นกรุณาเรียนเชิญหาเป้าหมายต่อไปที่ป้ายหน้าเหมือนเดิมนะคะเพื่อนรักเพื่อนร้ายที่หวังจะพรากน้องชายสุดที่รักของฉันออกจากครอบครัว” พูดแล้วก็หัวเราะเสียงใสเมื่อเห็นหน้าหงิกงอของเพื่อนซี้ที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยประถมจนถึงปัจจุบัน
“ปากคอเราะร้ายใหญ่แล้วนะยะแม่ชะนีน้อย เดี๋ยวจะโดนหยิกเนื้อเขียวระวังตัวไว้ให้ดีๆเถอะย่ะ ทำตัวแสบซ่าส์ก๋ากั่นดีนักแหละนังคนนี้ แน่ะว่าแล้วยังจะแลบลิ้นปลิ้นตาให้อีก ผู้ชายพาหลงใหลได้ปลื้มหล่อนกันได้ยังไงยะ ความเป็นกุลสตรีศรีสยามหล่อนสู้ฉันไม่ได้สักกระเบียดนิ้ว” ค้อนวงใหญ่จากใบหน้าเนียนไร้ริ้วรอยถูกส่งตรงให้จัสมินที่ยังคงทะเล้นใส่ไม่เลิก
“ลองทำดูสิจะได้โทรบอกให้ป๋ามาจัดการตุ๊ดที่ชอบรังแกลูกสาวคนสวยผู้แสนบอบบางคนนี้” คิ้วเรียวยักขึ้นยักลง ดวงตาเป็นประกายสดใสไหวระริกอย่างขบขันสีหน้าของเพื่อนรักที่ทำเหมือนมันเขี้ยวนักหนา แก้มพองลมจนตุ่ยเพราะกลั้นยิ้มเอาไว้สุดฤทธิ์ ป๋าของเธอท่านใจดีกับสองคนนี้จะตายแต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังคงกลัวไม่เลิกราตั้งแต่เด็กจนโตก็แก้ไม่หาย
“นางมารร้าย”
“แค่เอ่ยปากถึงคุณป๋านังตุ๊ดหน้าหล่อนี่ก็ใจเสาะแอบร้องไห้อยู่ภายในใจกระซิกๆแล้วไหมล่ะจัสมินจ๋า เอาเป็นว่าช่วยๆเห็นใจและสงสารนางหน่อยนะ อย่าฟ้องเลยเดี๋ยวจะเจ็บหนักปางตายก่อนมีปั๋วอย่างที่เฝ้าใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตการเป็นชายใจหญิง โอ๊ย! ขำจังเลย” ดาด้าพูดเองหัวเราะเองจนน้ำตาไหลออกมาตรงหางตาเพราะเป็นคนเส้นตื้นอยู่แล้ว พลางเอี้ยวตัวหลบหลีกมือเรียวยาวที่เอื้อมมาหมายจะตีที่แขนอย่างหวุดหวิด
“ปากหล่อนสองคนนี่มันน่าตบแบบแพ็คคู่เบิ้ลจริงๆ เลย ขยันเหน็บแนม ช่างเข้าขากันดีจริ๊ง” กัสเข่นเขี้ยวอย่างมันเขี้ยวเต็มทนแต่ก็ไม่ลงไม้ลงมือหนักหนาอะไรนอกจากปูหนีบเจ็บๆคันๆอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“โหดร้ายกับเพื่อนตลอด เจ็บจริงนะเนี่ย” จัสมินเปรยเบาๆ เมื่อโดนหยิกหมับเข้าที่หลังมือแสบๆคันๆเหมือนมดกัด ด้วยความที่อยู่ใกล้มือสุดเลยโดนเล่นงานก่อนคนแรก ส่วนดาด้านั้นนั่งไกลไปเลยรอดอย่างหวุดหวิด
“ก็หล่อนร้ายก่อน”
“อยากเห็นหน้าอาจารย์คนใหม่แล้วที่จะมาสอนแทนอาจารย์คนเก่าที่ลาออกไปกะทันหันแล้วอ่ะ นี่ก็มันเลยเวลามาเกือบจะสิบนาทีเต็มแล้วนะ ทำไมไม่เห็นมาเลยหรือว่าวันนี้จะไม่มาสอนนะ ถ้าเป็นงั้นก็ดีสิเนอะ ยังไม่ค่อยพร้อมเรียนเลย”
“อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้วแหละ ถ้าไม่มาก็น่าจะมีคนนำประกาศมาติดที่หน้าห้องก่อนเวลาเหมือนทุกครั้งที่อาจารย์ยกคลาส” เธอพูดกับดาด้ายังไม่ทันขาดคำเสียงในห้องก็พร้อมใจกันเงียบสงบลงพร้อมบานประตูที่ปิดดังปัง จะด้วยเพราะแรงลมหรือคนเข้ามาใหม่นักมือไปหน่อยก็ไม่อาจทราบได้ สายตาเลยพุ่งตรงไปมองแล้วก็ทำให้เธอชะงักลงนิดหน่อยที่เห็นหน้าตาของผู้ที่ยืนอยู่กลางห้องและเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“หูยย”
“หล่ออ่า”
“ถ้ารู้ว่าอาจารย์คนใหม่จะหล่ออย่างนี้เลือกนั่งข้างหน้าไปแล้ว เสียดายอ่ะ เสียดายสุดๆ”
กัสเสียงเคลิ้มและอีกหลายๆคนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังก็พูดคำๆนี้ออกมา ‘หล่อ’ ร่างสูงสมาร์ทที่เด่นเป็นสง่ามีออร่าดึงดูดสายตาเพศตรงข้ามให้หลอมรวมเข้าด้วยกันคือคนเดียวกับที่เธอเดินชนเข้าจังๆเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง ลักษณะท่าทางบุคลิกภายนอกของเขาค่อนข้างเคร่งขรึมดูเหมือนเป็นคนใจดีแต่พอเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น แล้วได้สัมผัสเพียงไม่นานก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดจะถูกต้องไหม