บทที่ 4
รณกร เลขานุการผู้มากความสามารถเป็นผู้เดินนำหน้าคณะผู้บริหารและนักกีฬาทุกคนตรงเข้ามาทักทายแม่ทิพย์อย่างเป็นกันเองที่สุด
“สโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต ยินต้อนรับเด็กๆ ทุกคนครับ”
“เด็กๆ คะจำได้ไหมคะว่าแม่ทิพย์บอกไว้ว่าอย่างไรบ้าง”
แค่เพียงถูกแม่ทิพย์ย้ำเตือนเพียงเล็กน้อย เด็กๆ ทุกคนก็รู้หน้าที่ของตนเองในทันที ต่างก็ยกมือไหว้ท่านผู้ใหญ่ใจดีด้วยกริยาอ่อนช้อยตามที่ถูกพร่ำสอนมา พร้อมกันนั้นก็กล่าวสวัสดีด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดังแถมยังเป็นไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เรียกรอยยิ้มกว้างได้จากคณะผู้บริหารสโมสรแห่งนี้
“สวัสดีครับเด็กๆ คุณอาดีใจที่เด็กๆ แวะมาเที่ยวชมสถานที่ทำงานของคุณอาในวันนี้”
ขณะกล่าวทักทายเด็กๆ กลับคืนบ้าง รณกรก็เดินมาจับศีรษะเด็กๆ สองสามคนด้วยความเอ็นดูรักใคร่ จากนั้นก็ผายมือไปยังกลุ่มนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็งซึ่งยืนอยู่ข้างหลังตนเอง ก่อนจะเอ่ยบอกเด็กๆ ทุกคนต่อ
“วันนี้ทางสโมสรจะเปิดให้เด็กๆ เข้าไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งด้วย เด็กๆ คนไหนอย่างเล่นก็บอกพี่ๆ นักกีฬาได้เลยนะครับ เดี๋ยวพี่ๆ นักกีฬาทุกคนจะช่วยสอนวิธีการเดิน หรือการเล่นสเก็ตน้ำแข็งให้นะครับ หรือถ้าไม่อยากเล่นสเก็ตน้ำแข็ง ด้านนอกบริเวณมีการจัดซุ้มกิจกรรม มีเกมให้เล่นล่ารางวัลมากมาย เด็กๆ สามารถเลือกเข้าไปเล่นได้เลยครับ”
ก่อนหน้านี้เด็กๆ ทุกคนทำตาวาวเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น แถมยังยืนไม่เป็นสุข เพราะอยากเข้าไปเที่ยวภายในบริเวณจัดงานวันเด็กอยู่แล้ว ยิ่งคุณอาผู้ใจดีมาพูดย้ำ ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นต่อมความอยากของเด็กน้อยตาดำๆ เหล่านี้ให้ลุกพล่านมากกว่าเดิมอีกเท่า
แม้เด็กน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์จากสถานรับเลี้ยงกำพร้าจะไม่เอ่ยพูดออกมาว่าต้องการเข้าไปภายในบริเวณจัดงานวันเด็กแล้ว กระนั้นเลขานุการผู้มากความสามารถทำงานแทนเจ้านายหนุ่มแทบทุกอย่าง ก็รับรู้ได้ถึงความต้องการของเด็กๆ ทุกคน เขาจึงไม่รอช้ารีบผายมือเชิญให้เด็กๆ เข้าไปเที่ยวงานวันเด็กตามที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมานานแล้ว
“ตอนนี้สโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ตของเราพร้อมสำหรับต้อนรับเด็กดีทุกๆ คนแล้ว เชิญเด็กๆ เข้าไปเที่ยวงานวันเด็กได้เลยครับ”
เด็กน้อยจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ได้อยู่ฟังรณกรพูดจบประโยค แค่เพียงได้ยินท่านผู้ใหญ่ใจดีเปล่งวาจาอนุญาตให้เข้าไปในบริเวณจัดงานเลี้ยงได้แล้ว เด็กๆ ทุกคนก็พร้อมใจวิ่งกรูเข้าไปภายในสโมสรดังกล่าวอย่างรวดเร็วเกินว่าแม่ทิพย์และครูพี่เลี้ยงจะห้ามไว้ได้ทัน
แม่ทิพย์พยักพเยิดให้ครูพี่เลี้ยงตามไปดูแลเด็กๆ ซึ่งต่างก็วิ่งเข้าไปในบริเวณจัดงานเลี้ยงแล้วเลือกชม เลือกเล่นเกมตามที่ตนเองหมายตาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่เด็กๆ ของเราเสียมารยาทกับคุณรณกรนะคะ”
แม่ทิพย์ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเลขาฯ หนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายรีบโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยสำทับออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณทิพย์อย่ากังวลไปเลยครับ ปล่อยให้เด็กๆ เขาเล่นกับตามสบายเลยครับ”
รณกรเอ่ยบอกให้แม่ใหญ่แห่งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้คลายความกังวลใจ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมหันไปบอกให้นักกีฬาตามไปดูแลและสอนเด็กๆ เล่นสเก็ตน้ำแข็งตามที่เขาเอ่ยบอกในก่อนหน้านี้
“ถ้ายังไงดิฉันต้องขอโทษไว้ล่วงหน้านะคะ หากเด็กๆ ของดิฉันจะทำอะไรที่เป็นการผิดพลาดต่อคุณรณกรและสถานที่แห่งนี้”
ไม่ได้เอ่ยขอโทษปากเปล่า ทว่าแม่ทิพย์ได้ยกมือไหว้รณกรพร้อมไปด้วย โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีอายุอานามน้อยกว่านางเกือบยี่สิบปี เพราะนางถือว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีบุญคุณต่อนางและบรรดาลูกๆ ของนางไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้านายของเขา ซึ่งเธอยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเลย
ทางด้านของรณกร พอถูกแม่ทิพย์ยกมือไหว้ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เขารีบยกมือไหว้แม่ทิพย์กลับคืนในทันทีเช่น
เดียวกัน
“โธ่...คุณทิพย์อย่าไหว้ผมเลยครับ เดี๋ยวผมจะอายุสั้นก่อนเวลาอันสมควร”
รณกรสัพยอกเสียงกลั้วหัวเราะ จากนั้นกก็ผายมือเชิญให้แม่ทิพย์เข้าไปคุยกันภายในร้านกาแฟสดที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณสโมสร และตอนนี้กำลังถูกกองทัพของเด็กน้อยยึดพื้นที่ไปบางส่วนแล้ว เพราะวันนี้ร้านกาแฟแห่งนี้เปิดให้เด็กๆ ทุกคนที่มาร่วมงานวันเด็กสามารถสั่งโกโก้ หรือเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ดื่มฟรีได้ตลอดทั้งวัน
“ดื่มกาแฟก่อนนะครับคุณทิพย์”
รณกรเลื่อนกาแฟร้อนหอมกรุ่นที่พนักงานในร้านกาแฟนำมาเสิร์ฟทันทีที่พวกเขาได้ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ไปตรงหน้าของแม่ทิพย์ ขณะเอ่ยเชิญชวนให้อีกฝ่ายลิ้มลองกาแฟรสนุ่มชุ่มคอ
“ขอบคุณมากค่ะคุณรณกร”
แม่ทิพย์ยกถ้วยกาแฟร้อนหอมกรุ่นตกแต่งอย่างสวยงามด้วยฟองนมรสนุ่มมาขึ้นจิบเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท พอวางแก้วลงแล้ว ก็เลียบเคียงเอ่ยถามถึงผู้เป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้
“เอ่อ...เจ้านายของคุณรณกรไม่อยู่หรือคะ พอดีดิฉันมีของที่ระลึกที่เด็กๆ วาดขึ้นจะมอบให้กับเจ้านายคุณรณกรด้วยนะคะ”
แม่ทิพย์เอ่ยบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปยังภาพวาดเข้ากรอบอย่างสวยงาม ซึ่งนางวางไว้บนเก้าอี้ใกล้ๆ กันให้รณกรปรายตามองตาม
รณกรเบิกตาโตด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อเห็นภาพวาดสวยงาม ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับภาพวาดมาดูใกล้ๆ โดยไม่ลืมขออนุญาตแม่ทิพย์ด้วย
“ผมขอดูหน่อยนะครับคุณทิพย์”
“เชิญตามสบายค่ะคุณรณกร” แม่ทิพย์รับคำอย่างเต็มใจ แถมยังช่วยหยิบภาพวาดส่งให้อีกฝ่ายด้วย
รณกรรับภาพวาดมาเพ่งพิจารณาใกล้ๆ พอดวงตาปะทะกับความงดงามของภาพวาด ก็ออกปากเอ่ยชมออกมาจากใจจริง
“สวยมากเลยนะครับคุณทิพย์ ลูกๆ ของคุณทิพย์ช่วยกันวาดหรือครับ”
แม่ทิพย์อมยิ้มพลางพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยตอบให้เลขาฯ หนุ่มรับรู้ถึงความสามารถและพรสวรรค์ของเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
“ค่ะคุณรณกร ภาพนี้น้องข้าวฟ่างเป็นคนวาดค่ะ ดิฉันบอกให้ข้าวฟ่างวาดรูปอะไรก็ได้เพื่อนำไปเข้ากรอบมามอบเป็นของที่ระลึกให้กับเจ้านายของคุณรณกร ข้างฟ่างก็เลยวาดภาพสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าค่ะ ตอนเห็นภาพนี้ ดิฉันถามข้าวฟ่างว่าทำไมไม่วาดภาพวิวทิวทัศน์แทน เพราะข้าวฟ่างเขาถนัดวาดภาพวิวมาก ข้าวฟ่างบอกดิฉันว่าอยากวาดรูปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพราะว่าที่นี่คือบ้านของเธอค่ะ”
“อืม...เด็กคนไหนคือข้าวฟ่างครับ”
รณกรเอ่ยถามพลางเอี้ยวตัวหันไปมองนอกร้านกาแฟ โดยหวังว่าจะเห็นเด็กน้อยผู้วาดภาพได้สวยงามเดินเล่นอยู่แถวๆ นี้บ้าง
แม่ทิพย์คลี่ยิ้มกว้างรับรู้ได้ว่าเลขาฯ หนุ่มผู้นี้ให้ความสนใจกับภาพวาด และให้ความสนใจต่อตัวเด็กน้อยผู้วาดภาพนี้เป็นอย่างมาก
“ดิฉันขอมองหาสักครู่นะคะ ไม่รู้ว่าข้าวฟ่างเดินเล่นของเล่นอยู่แถวๆ นี้หรือเปล่า”
แม่ใหญ่แห่งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเอ่ยบอกพร้อมกับกวาดสายตาไปนอกร้านกาแฟ เพื่อมองหากาญต์พิชชา พลันนั้นก็มองเห็นแม่หนูน้อยเลือดผสมกำลังวิ่งผ่านร้านกาแฟไปพอดี
“นั่นยังไงล่ะคะคุณรณกร เด็กน้อยผมยาวที่เพิ่งวิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่นี่แหละค่ะที่ชื่อข้าวฟ่าง คุณรณกรอยากพบข้าวฟ่างไหมคะ ถ้ายังไงดิฉันจะไปตามข้าวฟ่างมาพบคุณรณกรนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับคุณทิพย์ ให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกไปเถอะครับ”
รณกรปฏิเสธเสียงทุ้ม แม้จะเห็นเด็กน้อยชื่อข้าวฟ่างแค่เพียงครู่เดียว กระนั้นเขาก็ยังพอจดจำหน้าตาของเด็กน้อยได้
“ข้าวฟ่างมีพรสวรรค์มากเลยนะครับ ขนาดตัวเล็กแค่นี้ยังวาดภาพลงสีและเงาได้สวยงามมากเลยครับ”
รณกรเอ่ยชมอีกครั้ง ซึ่งเขาเชื่อว่าหากเจ้านายของเห็นได้เห็นภาพวาดที่ได้รับมอบเป็นของที่ระลึกภาพนี้ เจ้านายหนุ่มคงมีความรู้สึกชื่นชมไม่ต่างจากเขาอย่างแน่นอน
แม่ทิพย์ฉีกยิ้มกว้างด้วยความปลื้มปิติ เมื่อได้ยินคำชมซึ่งหลุดออกมาจากปากของเลขาฯ หนุ่มอีกครั้ง นางปรายตามองภาพวาดพร้อมกับเอ่ยบอกถึงความสามารถที่มีนอกเหนือจากนี้ของเด็กน้อยที่รณกรรู้จักในชื่อข้าวฟ่าง
“นอกจากจะวาดภาพสีน้ำเก่งแล้ว ข้าวฟ่างยังเล่นกีฬาเก่งด้วยค่ะ”
รณกรพยักหน้ารับรู้ พลางเอ่ยพูดต่อในสิ่งที่ตนเองกำลังนึกคิดอยู่ในขณะนี้ “เด็กที่มีพรสวรรค์อย่างข้าวฟ่างควรได้รับการสนับสนุนนะครับ”
“ดิฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะคุณรณกร ก่อนหน้านี้ดิฉันได้ถามข้าวฟ่างว่าระหว่างศิลปะกับกีฬา ข้าวฟ่างอยากเลือกเดินเส้นทางไหนมากกว่ากัน เพื่อที่ดิฉันจะได้ทำหนังสือไปตามโรงเรียนที่สอนทักษะทางนี้โดยตรง เผื่อว่าเขาจะรับข้าวฟ่างไปเป็นนักเรียนพิเศษในโรงเรียนของเขา”
“แล้วหนูข้าวฟ่างเลือกเรียนทางกีฬาหรือศิลปะล่ะครับ”
รณกรเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ หากเด็กน้อยเลือกในสิ่งที่ตรงกับความคิดของเขาในขณะนี้ เขาก็พร้อมให้การสนับสนุนเด็กน้อยเช่นเดียวกัน
“ข้าวฟ่างอยากเรียนในโรงเรียนกีฬาค่ะคุณรณกร ตอนนี้ดิฉันได้ทำหนังสือไปยังโรงเรียนกีฬาทั่วประเทศ เผื่อว่าจะมีโรงเรียนแห่งใดแห่งหนึ่งรับข้าวฟ่างไปเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งนั้น”
แม่ทิพย์เอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนเองพยายามขวนขวายหาเส้นทางชีวิตที่ดีให้ลูกๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เลือกก้าวเดิน เพื่ออนาคตอันสดใสของพวกเขาเอง
“มีโรงเรียนกีฬาตอบรับมาบ้างหรือยังครับ”
รณกรไม่รู้เลยว่าคำถามของเขาทำให้แม่ทิพย์หน้าสลดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาอย่างเศร้าๆ
“ไม่มีโรงเรียนแห่งไหนตอบรับมาเลยค่ะ แต่ดิฉันก็จะพยายามติดต่อไปเรื่อยๆ ดิฉันคิดว่าสักวันคงจะเป็นวันอันแสนสวยงามของเด็กๆ ที่ดิฉันรับเลี้ยงดูอยู่ในขณะนี้”
“ใช่แล้วครับ สักวันจะต้องเป็นวันของเด็กๆ เหล่านี้”
รณกรเอ่ยให้กำลังใจทั้งตัวแม่ทิพย์เองและเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกคน
“เอ่อ...คุณรณกรคะ ว่าแต่เจ้านายคุณรณกรไม่อยู่หรือคะ คือ...ถ้าไม่รบกวนเวลาท่านมากเกินไป ดิฉันอยากนำภาพวาดนี้ไปมอบให้กับท่าน และจะได้ไหว้ขอบคุณท่านด้วยที่มีเมตตากับดิฉันและกับเด็กๆ ทุกคนนะคะ”
แม่ทิพย์เอ่ยถามถึงเจ้านายของเลขาฯ หนุ่มอีกครั้ง ในตอนท้ายนางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักไม่เต็มเสียงนัก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเกรงใจ เพราะกลัวว่านักธุรกิจดัง ร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย คงไม่มีเวลาให้นางเข้าพบ และคงไม่ชายตาแลของที่ระลึกไร้มูลค่าที่ข้าวฟ่างได้ลงมือวาดเพื่อนำมามอบให้เขา
รณกรคลี่ยิ้มบางๆ พอจะจับความรู้สึกในน้ำเสียงของหญิงวัยค่อนคนแสนใจดีผู้นี้ได้ ว่ากำลังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่ จึงได้เอ่ยพูดถึงเจ้านายของตนเองให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเพราะเหตุใดผู้กุมบังเหียนสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต และธุรกิจอีกมากมายในเครือถึงมาให้การต้อนรับแม่ทิพย์และเด็กๆ ไม่ได้
“หากเจ้านายอยู่สโมสรในขณะนี้ ผมเชื่อว่าเจ้านายต้องเต็มใจให้คุณทิพย์เข้าพบ ขณะเดียวกันเจ้านายก็คงอยากพบคุณทิพย์เช่นเดียวกันครับ แต่เผอิญว่าเจ้านายบินไปสิงคโปร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถ้าโชคดีทำธุระเสร็จเร็วเจ้านายก็คงกลับภายในวันนี้ แต่ตามกำหนดการแล้วเจ้านายจะกลับมาถึงเมืองไทยราวๆ หกโมงเย็น ซึ่งผมคิดว่าเจ้านายคงมาไม่ทันได้พบเด็กๆ แน่นอนครับ”
พอได้ยินคำตอบเช่นนี้ แม่ทิพย์ก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก นึกดีใจที่คนร่ำรวยอย่างเจ้าของสโมสรแห่งนี้ไม่รังเกียจคนต่ำต้อย คนจนๆ อย่างพวกนาง
“ถ้ายังงั้นดิฉันฝากภาพวาดนี้ให้กับเจ้านายของคุณรณกรด้วยนะคะ ดิฉันขอบคุณคุณรณกร และก็ฝากขอบพระคุณเจ้านายคุณรณกรด้วย ที่ให้ความเมตตาเด็กๆ ทุกคนได้เดินทางมาเที่ยวงานวันเด็กในปีนี้”
แม่ทิพย์ยื่นภาพวาดให้รณกรพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณเลขาฯ หนุ่มอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบยกมือรับไหว้เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
“แล้วผมจะบอกเจ้านายให้นะครับคุณทิพย์”
รณกรรับคำเสียงทุ้มนุ่มนวล แต่ไม่ทันพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น และผู้ที่โทรมาก็เป็นบุคคลที่สามซึ่งพวกเขากำลังพูดถึงในขณะนี้
“เจ้านายโทรมา ผมขอตัวก่อนนะครับคุณทิพย์”
รณกรขอตัวอย่างสุภาพ ซึ่งแม่ทิพย์ก็รีบเอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจไม่แพ้กัน
“คุณรณกรรับโทรศัพท์ตามสบายเลยค่ะ ถ้ายังไงดิฉันขอออกไปดูแลเด็กๆ ก่อนนะคะ”
“ขอบครับมากครับคุณทิพย์ พาเด็กๆ เที่ยวชมในสโมสรได้ตามสบายเลยนะครับ ขาดเหลืออะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ของเราได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณคุณรณกรอีกครั้งนะคะ”
แม่ทิพย์ยกมือไหว้ขอบคุณเลขาฯ หนุ่ม จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูร้านกาแฟ กำลังจะเดินออกจากร้านเพื่อให้อีกฝ่ายสนทนาโทรศัพท์กับเจ้านายได้โดยสะดวก แต่ก็ถูกเลขาฯ หนุ่มเอ่ยเรียกไว้เสียก่อน
“คุณทิพย์ครับ”
รณกรเอ่ยเรียกแม่ใหญ่แห่งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ พออีกฝ่ายหันมามองพลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม ก็คลี่ยิ้มให้บางๆ พลางเอ่ยบอกเป็นนัยๆ ให้คู่สนทนาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง
“เชื่อผมนะครับคุณทิพย์ สักวันจะต้องเป็นวันของลูกๆ ของคุณทิพย์”
“ค่ะคุณรณกร”
แม่ทิพย์รับคำอย่างงุนงง ก่อนจะเดินออกจากร้านกาแฟทั้งๆ ที่เครื่องหมายคำถามยังคงวิ่งวนอยู่ทั่วใบหน้าและดวงตาทั้งคู่
รณกรกระตุกยิ้มตรงมุมปากขณะมองตามแม่ใหญ่แห่งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่กำลังเดินออกไปจากร้านกาแฟ ซึ่งเขาเชื่อว่าหากเด็กๆ เหล่านี้เป็นเด็กดี มีคุณธรรม ใฝ่เรียนรู้ สักวันโอกาสและโชคชะตาที่ดีก็จะวิ่งเข้าหาเด็กๆ เหล่านี้เอง เฉกเช่นเด็กน้อยที่ชื่อข้าวฟ่างซึ่งเขาได้เห็นแค่เพียงไม่กี่นาทีก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก และเขารู้ว่าอีกไม่นานโอกาสก็จะวิ่งเข้าหาเด็กน้อยคนนี้เช่นเดียวกัน