บทที่ 2
และหลังจากตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อรอไปเที่ยวเปิดหูเปิดตานอกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ในที่สุดการรอคอยของเด็กน้อยตาดำๆ ก็สิ้นสุดลง เมื่อลุงแก้วซึ่งเป็นนักการภารโรงประจำที่นี่ได้เดินเข้ามาเอ่ยบอกกับแม่ทิพย์ว่า
“แม่ทิพย์ครับ รถบัสเดินทางมาถึงแล้วครับ”
แม่ทิพย์พยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็รีบเอ่ยบอกข่าวดีกับเด็กๆ ที่เฝ้ารอคอยเวลานี้เป็นเวลานานแล้ว
“เด็กๆ คะ รถบัสเดินทางมาถึงแล้ว...”
“เย้ๆๆ จะได้ไปเที่ยวแล้ว”
พอได้ยินว่ารถบัสที่จะมารับพวกตนไปเที่ยวนอกสถานที่เป็นครั้งแรก เดินทางมาถึงสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว เด็กๆ ต่างก็พากันตะโกนร้องเฮ พร้อมกับลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจแทบจะทันทีที่แม่ทิพย์เอ่ยบอกมา ซึ่งจะว่าไปแล้ว แม่ทิพย์ยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำไป
เมื่อเด็กๆ ร้องเฮดังลั่น แถมยังกระโดดโลดเต้นไม่อยู่ในระเบียบในแถว แม่ทิพย์จึงขึงตามองพร้อมกับห้ามปรามเสียงดุ
“เด็กๆ คะ แม่ทิพย์พูดเมื่อสักครู่ใช่ไหมคะว่าให้อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ทันไรก็พากันกระโดดโลดเต้นเป็นลิงทะโมนอีกแล้ว”
ไม่จำเป็นต้องตะคอกดุด่าด้วยถ้อยวาจารุนแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เรียวหรือลงไม้ลงมือทุบตีเด็กๆ เหล่านี้ แค่เพียงขึงตามองเอ่ยดุเสียงเข้ม เด็กๆ ทุกคนก็หวั่นเกรงกลับมาอยู่ในโอวาทเหมือนเดิม เมื่อเด็กน้อยทุกคนยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามกลุ่มสีของตนเองแล้ว แม่ทิพย์ก็เอ่ยบอกเด็กๆ อีกครั้ง
“เด็กๆ คะ เดี๋ยวให้กลุ่มสีเหลืองไปขึ้นรถก่อนนะคะ เดินขึ้นทีละคนนะคะ ไม่ต้องแย่งกันขึ้น เดี๋ยวจะพลาดตกลงมาแข้งขาหักได้”
ขณะกล่าวเตือนเด็กๆ แม่ทิพย์ก็พยักพเยิดให้ครูพี่เลี้ยงปล่อยเด็กนักเรียนทีละแถว เพื่อเดินไปขึ้นรถบัสซึ่งจอดรออยู่ด้านนอกรั้วสถานรับเลี้ยงเด็ก
พอเด็กๆ ทยอยเดินออกจากบริเวณเพื่อไปขึ้นรถบัส แม่ทิพย์ก็ก้าวเดินตามไปด้วย เพราะอยากดูแลความเรียบร้อยระหว่างเด็กๆ ขึ้นรถบัส และเมื่อเดินออกมาเห็นรถบัสหรูหรา เป็นรถปรับอากาศสองชั้นแถมยังใหม่เอี่ยมราวกับเพิ่งถูกซื้อมาใช้งานได้แค่ไม่กี่เดือน ที่ทางผู้ใหญ่ใจดีได้เช่าให้มารับเด็กๆ ในการปกครองของนางไปเที่ยวงานวันเด็กในวันนี้ แม่ทิพย์ถึงกับอ้าปากค้างเบิกตาโตด้วยความคาดไม่ถึง ซึ่งบรรดาครูพี่เลี้ยงคนอื่นๆ ก็มีอาการไม่ต่างจากนางสักเท่าไร ด้วยทุกคนต่างก็คิดว่าทางผู้ใหญ่ใจดีคงเช่ารถบัสแบบกลางเก่ากลางใหม่และเป็นรถพัดลมเท่านั้น แต่นี่ทางผู้ใหญ่ใจดีเล่นส่งรถบัสหรูหราถึงสี่คันมารับเด็กๆ ทุกคน และที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวในครั้งนี้ ทางสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ต้องออกแม้แต่บาทเดียวด้วย
“เขาส่งรถปรับอากาศมารับพวกเราเลยหรือนี่”
ครูพี่เลี้ยงคนหนึ่งเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเดินออกมาเห็นรถบัสหรูหราแล้ว ซึ่งคุณครูคนดังกล่าวมีอาการแปลกใจอยู่มากที่ได้รับการปฏิบัติจากผู้อุปถัมภ์เป็นอย่างดี
“แม่ทิพย์ก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ตอนแรกแม่ทิพย์คิดว่าเขาคงส่งรถบัสแบบพัดลมมารับพวกเราซะอีก แม่ทิพย์นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะส่งรถบัสปรับอากาศหรูหรามาให้ แถมยังเช่ามาถึงสี่คัน ทำให้เด็กๆ ของพวกเราไม่ต้องนั่งเบียดเสียดกันด้วย”
แม่ทิพย์พูดถึงท่านผู้ใหญ่ใจดีด้วยน้ำเสียงอันแฝงไปด้วยความเคารพบูชาและชื่นชมในความมีน้ำใจของบุรุษผู้นี้ ซึ่งนางยังจำวันที่เข้าไปพบกับท่านผู้ใหญ่ใจดีคนนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เป็นอย่างดี
เมื่อสัปดาห์ก่อน สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ มีโอกาสได้ต้อนรับเลขานุการในวันสามสิบปีเศษ ซึ่งแนะนำตัวเองว่าชื่อ รณกร ได้เดินทางมาขอพบนาง ในตอนแรกนางงุนงงอยู่มากว่าชายผู้นี้มาขอพบนางด้วยเรื่องอะไร
แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกความประสงค์สำหรับการเดินมาเข้าพบในครั้งนี้ พร้อมกับยื่นเอกสารซึ่งมีชื่อและลายเซ็นของเจ้านายเขากำกับมาด้วย ทำเอานางตกใจแทบช็อกด้วยความคาดไม่ถึงว่านักธุรกิจหนุ่มชื่อดังไฟแรงแห่งปี แถมยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับเด็กกำพร้าในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
ในเอกสารฉบับนั้นระบุว่าเจ้านายของเลขาฯ ที่ชื่อรณกร ต้องการให้เด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปเที่ยวชมสถานที่ทำงานของเขาในวันเด็กแห่งชาติที่จะถึงนี้ ซึ่งเขาจะสั่งให้ลูกน้องจัดงานวันเด็กไว้รอรับ และเด็กๆ ทุกคนที่มาเที่ยวชมงานวันเด็กในปีนี้ จะได้รับของขวัญติดไม้ติดมือกลับบ้านกันทุกคน
เพราะนอกจากเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมในปีนี้จะเป็นวันเด็กแห่งชาติแล้ว ยังเผอิญไปตรงกับวันเกิดของเขาด้วย ซึ่งเขาต้องการมอบความสุข ต้องการมอบรอยยิ้มให้กับเด็กๆ ทุกคน
หลังจากอ่านเอกสารแบบคร่าวๆ เพราะดีใจจนน้ำตาซึมดวงตาพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติดีใจ นางก็ตอบรับคำเชิญผ่านเลขานุการของท่านผู้ใหญ่ใจดีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
พอเลขานุการที่ชื่อรณกรเดินทางกลับไปแล้ว นางก็นำข่าวดีไปบอกเด็กๆ ทุกคน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากสิ้นคำพูดของนางแล้ว เด็กๆ ทุกคนซึ่งไม่เคยออกไปเที่ยวนอกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเลย ต่างก็ร้องเฮดังลั่นปรบมือกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ที่พวกเขาจะได้ออกไปเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติเป็นครั้งแรกในชีวิต
“แม่ทิพย์คะ เมื่อไรแม่ทิพย์จะขึ้นรถคะ”
เสียงแหลมเล็กของกาญต์พิชชา กอปรกับมือเล็กนุ่มนิ่มที่จับแขนแม่ทิพย์เขย่าเบาๆ ช่วยให้แม่ทิพย์ของเด็กๆ ตื่นจากภวังค์ความคิด นางหันมามองใบหน้าเล็กเรียวรูปไข่ ซึ่งส่อเค้าว่าโตขึ้นเด็กน้อยคนนี้จะสวยงดงามอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็ออกปากเอ่ยถามกาญต์พิชชาบ้าง
“เมื่อสักครู่ข้าวฟ่างถามแม่ทิพย์ว่ายังไงนะคะ”
กาญต์พิชชาคลี่ยิ้มบางๆ ให้แม่ทิพย์ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงหวาน “ข้าวฟ่างถามแม่ทิพย์ว่าเมื่อไรแม่ทิพย์จะขึ้นรถคะ ตอนนี้พวกเราขึ้นรถหมดแล้วค่ะ เหลือแค่แม่ทิพย์คนเดียวเท่านั้นค่ะ”
พอกาญต์พิชชาบอกเช่นนี้ แม่ทิพย์ก็รีบกวาดสายตามองไปยังรถบัสหรูหราทั้งสี่คัน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีดีเด็กๆ ทุกคนก็ขึ้นไปนั่งฉีกยิ้มแป้นอยู่บนรถกันหมดแล้ว
“อะไรกัน พากันขึ้นรถหมดแล้วหรือนี่”
แม่ทิพย์อุทานเสียงหลงด้วยความไม่เชื่อสายตา ไม่นึกว่าเด็กๆ ทุกคนจะตื่นเต้นดีใจกับการไปเที่ยวครั้งนี้มาก บรรดาลูกสาวลูกชายของนางจึงรีบขึ้นไปนั่งบนรถบัสอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะคาดถึง
“พวกน้องๆ ขึ้นไปนั่งบนรถตั้งแต่สามนาทีที่แล้วค่ะแม่ทิพย์”
กาญต์พิชชาบอกยิ้มๆ ซึ่งไม่ได้ไกลจากความเป็นจริงเลย เพราะเด็กกำพร้าทุกคน ซึ่งต่างก็เป็นน้องและเป็นเพื่อนของเธอ ได้ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถบัสอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็เป็นไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อยตามที่ถูกพร่ำสอนมา
แม่ทิพย์ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ เมื่อได้ยินคำตอบจากกาญต์พิชชา นางยกมือขึ้นไปโอบกอดบ่าเล็กของกาญต์พิชชา แม่หนูน้อยคนสวยที่บรรดาครูพี่เลี้ยงทุกคนต่างก็พูดพ้องกันว่าโตขึ้น กาญต์พิชชาจะงดงามไม่ต่างจากดอกไม้งามยามต้องอรุณรุ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นระคนรักใคร่เอ็นดู
“แล้วข้าวฟ่างล่ะลูก เมื่อไรจะขึ้นรถสักที”
“ข้าวฟ่างรอขึ้นรถพร้อมแม่ทิพย์ค่ะ”
กาญต์พิชชาเอ่ยประจบประแจง พร้อมกันนั้นก็จะจับมือแม่ทิพย์ไว้มั่น แล้วพาแม่ทิพย์ก้าวเดินตรงไปยังรถบัสคันที่เธอต้องนั่งกับน้องๆ ในกลุ่มสีเดียวกัน
แม่ทิพย์เดินตามกาญต์พิชชาไปขึ้นรถบัสคันดังกล่าว และก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่นั่งของตนเอง ก็ไม่ลืมเอ่ยขอคำมั่นสัญญาจากลูกสาวแสนสวยอีกครั้ง
“โตขึ้นอย่าทำให้แม่ทิพย์ผิดหวังนะข้างฟ่าง”
กาญต์พิชชาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับแม่ทิพย์ จากนั้นก็เอ่ยรับคำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้การให้คำมั่นสัญญากับแม่ทิพย์ในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
“ไม่แน่นอนค่ะ ข้าวฟ่างจะไม่ทำให้แม่ทิพย์ผิดหวังแน่นอนค่ะ ข้าวฟ่างสัญญา”
เอ่ยตอบไปแล้ว กาญต์พิชชาก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง ซึ่งข้างๆ กันนั้นก็มีน้องตัวเล็กอายุราวๆ สามขวบให้กานต์พิชชาต้องดูแลน้องๆ ด้วย
แม่ทิพย์มองตามร่างเล็กของหนูน้อยเลือดผสมไทย-ฟินแลนด์ ซึ่งเจ้าตัวและนางไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ของแม่หนูน้อย พลางถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เพราะนางรู้ดีว่าในขณะที่กาญต์พิชชาคลี่ยิ้มหวานให้กับนาง หรือหัวเราะสดใสให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นั้น
และแม้กาญต์พิชชาจะพยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเอง แต่นางและครูพี่เลี้ยงทุกๆ คนก็รู้สึกได้ว่าข้างในลึกๆ แล้วเด็กน้อยกำลังร้องไห้น้ำตาท่วมหัวใจดวงเล็กอยู่ เพราะเด็กน้อยต้องการมีครอบครัว ต้องการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่เกิดมาโชคดีหนักหนา
“อดทนไว้นะข้าวฟ่าง คงมีสักวันที่จะเป็นวันอันแสนสวยงามของหนู”
แม่ทิพย์เอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับต้องการฝากสรรพสิ่งรอบกายให้ช่วยนำคำพูดของเธอส่งไปถึงเด็กน้อยที่นางรัก เอ็นดูและตั้งให้เป็นความหวังของทุกๆ คนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้