บทที่ 4
เมื่อคืนที่ผ่านมารสรินทร์กลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม คุณแม่จึงอบรมชุดใหญ่ บอกว่าถ้าคนรู้จะไม่ดีอย่างไรบ้าง ไม่เป็นกุลสตรีอย่างไรบ้าง และลงท้ายด้วยคำว่าอย่าทำอีก เพราะถ้าอธิคุณหรือชายหนุ่มที่นางหมายมั่นว่าจะได้มาเป็นลูกเขยรู้เข้า เขาอาจจะไม่พอใจ
เธอจึงแก้ไปว่าที่กลับดึกก็เพราะติดธุระเรื่องงาน ไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีอย่างที่มารดาคิด พร้อมทั้งบอกว่าในอนาคตอันใกล้อาจได้เปลี่ยนงานเลื่อนตำแหน่ง ต้องเดินทางบ่อยครั้ง ซึ่งมารดาของเธอก็บ่นพึมพำว่าขอให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน
“อย่าไปทำให้เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานเหนื่อยนะยัยรินทร์ เงินเดือนเด็กจบใหม่มันไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็ให้ดูแลตัวเองได้ ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านสักหน่อยก็ยังดี”
มัทนา โชติกิตติกร บ่นพึมพำออกมาอย่างไม่สบายใจนัก แม้สถานะทางการเงินของบ้านจะไม่ขัดสน แต่ก็ยังไม่สะดวกถึงขั้นใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ยิ่งเจ้าหนี้เร่งรัดให้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยคืนในเร็ววัน นางยิ่งต้องวางแผนให้ดีว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“แล้วที่โรงแรมเป็นยังไงบ้างคะคุณแม่” รสรินทร์หมายถึงโรงแรมขนาดกลางที่บิดาและมารดาเป็นหุ้นส่วน ความจริงเธอต้องไปทำงานที่นั่น แต่สถานการณ์ย่ำแย่เกินไป บิดาจึงไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวจนต้องปวดหัวด้วยอีกคน
“แย่ ตั้งแต่โรคระบาดนั่นแหละ พ่อของแกก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าเสี่ยงอะไรเลยสักอย่าง ยังดีที่ตอนนี้บริษัทเริ่มมีงานเข้ามาบ้างแล้ว ถ้าเราผ่อนผันหนี้ไอ้ปราชญ์ได้อีกสักปี ทุกอย่างก็คงจะเข้าที่”
มัทนาวางแผนว่าจะนำเงินของลูกเลี้ยงมาใช้หนี้สินและดอกเบี้ยที่รุมเร้าไม่หยุดหย่อน แต่ต้องรอให้เธออายุครบยี่สิบปีก่อนจึงจะเบิกทุกอย่างได้ ซึ่งก็ต้องรออีกเกือบปี
“บางทีคุณปราชญ์อาจเปลี่ยนใจเลื่อนชำระหนี้ให้เราก็ได้นะคะแม่ รออีกสองสามวันแล้วค่อยไปคุยกับเขาอีกที” รสรินทร์แนะนำได้ไม่เต็มเสียงนัก เธอมั่นใจว่าเขาคงเลื่อนการชำระหนี้ให้ แต่ดอกเบี้ยรายเดือนก็ยังทำให้สถานการณ์ของครอบครัวย่ำแย่มากอยู่ดี
“คงยาก ไอ้ปราชญ์หน้าเลือดยิ่งกว่าพ่อมันซะอีก คราวก่อนกว่าจะขอเลื่อนจ่ายหนี้ได้ก็แทบกราบ แม่เกลียดมันจริงๆ นะรินทร์ จองหองไม่มีใครเทียบ อายุแค่สามสิบต้นๆ แต่ทำลอยหน้าลอยตา ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ โตเมืองนอกก็แบบนี้แหละ ไม่มีสัมมาคารวะ ใครได้เป็นลูกเขยนี่ปวดหัวตาย!” มัทนาบ่นพึมพำไปเรื่อย ไม่ได้สังเกตเลยว่าลูกสาวคนเดียวของเธอหน้าซีดเหมือนกระดาษ รอยยิ้มน้อยๆ ที่มักประดับอยู่บนใบหน้านั้นไม่มีเหลือแล้ว
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ รินทร์ว่าคุณพ่อจะต้องจัดการทุกอย่างได้แน่ๆ ค่ะ อีกอย่างพี่เอื้อเองก็สนิทกับคุณปราชญ์ เขาคงไม่ใจร้ายกับครอบครัวเรามากนัก”
“พูดถึงคุณเอื้อ ช่วงนี้เขาหายไปเลยนะรินทร์ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
“เปล่านะคะแม่ วันก่อนรินทร์ยังคุยกับพี่เอื้ออยู่เลย เห็นว่าติดงานที่ฮ่องกงน่ะค่ะ กว่าจะกลับก็คงอาทิตย์หน้า”
“แล้วไป แม่ละกังวล กลัวว่าคุณเอื้อจะไม่ชอบรินทร์ ยังไงรินทร์ต้องเอาใจเขาให้มากนะลูก ถ้าเขาเอ็นดูรินทร์ พ่อกับแม่ก็จะได้สบาย เรื่องหนี้สินก็ไม่ต้องเครียด พูดง่าย คุยง่าย ไม่เหมือนไอ้ปราชญ์ รายนั้นไม่ไหวจะพูดด้วยจริงๆ”
“แต่คุณแม่คะ เราเป็นคนไปขอกู้หนี้ยืมสินเขาไม่ใช่เหรอคะ ที่เขาทวงเพราะเลยกำหนดก็ไม่น่าจะผิดอะไร เราต่างหากที่…”
“ยัยรินทร์! นี่แกกล้าเถียงแทนมันงั้นเหรอ!”
“เปล่านะคะคุณแม่ รินทร์แค่พูดไปตามความจริง” รสรินทร์หลบสายตาของผู้ให้กำเนิดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ ครั้งที่เธอพูดจาไม่ตรงใจ ยังดีที่วันนี้ถ้อยคำเผ็ดร้อนและคำขู่ต่างๆ นานาไม่ได้หลุดตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงเริ่มต้นวันใหม่ได้แย่มากแน่ๆ
“ยัยรินทร์! นี่แกจะไปทำงานก็รีบไปเลยนะ เห็นหน้าแล้วรำคาญจริงๆ แล้วก็อย่าลืม โทร. หรือไม่ก็ส่งข้อความหาคุณเอื้อบ่อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวเขาเลิกเอ็นดูแกแล้วเปลี่ยนมาทวงหนี้ พวกเราจะแย่!”
มัทนายังไม่รู้ว่าลูกสาวถูกไล่ออกจากงาน จึงสั่งให้รีบออกจากบ้านเพราะกลัวว่าจะสาย ซึ่งรสรินทร์เองก็พยักหน้ารับคำ ก่อนพรมนิ้วตอบข้อความที่เพิ่งเด้งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลางนึกขอโทษมารดาในใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะทำ
“คุยกับคุณเอื้อใช่ไหม ยังไงตอบหวานๆ หน่อยนะ หว่านเสน่ห์หน่อย เผื่อเขาจะได้ขอแต่งงานเร็วๆ” มัทนายิ้มอย่างอารมณ์ดีเพราะเข้าใจว่าลูกสาวคุยกับอธิคุณ นักธุรกิจหนุ่มผู้รวบตำแหน่งเจ้าหนี้อีกราย ทว่าความจริงกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม
Prach?◽️▪️: ผมจะไปกินมื้อสายข้างนอก คุณมาเป็นเพื่อนผมสิ
Rosaline??: ค่ะ รินทร์จะรีบไปนะคะ
รสรินทร์ไม่ได้ส่งข้อความหาคนที่มารดาของเธออยากได้เป็นลูกเขย แต่เป็นเจ้าหนี้หน้าเลือดที่นางเกลียดชังมากที่สุด
นายปราชญ์ ทิวานันท์!
