บทที่ 16
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงสาย ปราชญ์จึงคลายอ้อมกอดอย่างช้าๆ เพราะกว่าคนตัวเล็กจะตื่น เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าปลายสายคือพี่ชายคนโต ที่ดูแลกิจการอยู่ต่างประเทศ
“สวัสดีครับพี่ปุณณ์ ครับพี่… พี่ พี่พูดอีกทีได้ไหมครับ” ปราชญ์กระชากเสียงถาม จนร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาในที่สุด แต่นาทีนี้เขาไม่สนใจว่าใครจะหลับหรือตื่นแล้ว
“คุณแม่เป็นขนาดนี้แล้ว แต่คุณพ่อกลับไม่ยอมบอกผม?! เพราะกลัวว่าธุรกิจจะเสียหายงั้นเหรอ!” ปราชญ์ตะโกนอีกหลายคำ ทั้งยังขว้างปาข้าวของราวกับควบคุมสติไม่ได้ ซึ่งเป็นภาพที่รสรินทร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
“พอ! ไม่ต้องอธิบายแล้ว ผมเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบกลับ!” เขาปาโทรศัพท์ลงบนเตียง ก่อนต่อยกำแพงซ้ำๆ เพื่อระบายอารมณ์ รสรินทร์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปห้าม สุดท้ายจึงโดนลูกหลง ถูกผลักแทบล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
“รินทร์ พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ปราชญ์ใจเย็นๆ นะคะ มีอะไรก็ค่อยๆ คิด” เธอเดาได้จากบทสนทนาว่ามารดาของเขาคงกำลังป่วยหนัก จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบค้นดูข้าวของในคอนโดมิเนียมอย่างเร่งรีบ ปรากฏว่าไม่มีอุปกรณ์ทำแผลที่เธอต้องการ
“พี่ปราชญ์อย่าชกกำแพงอีกนะคะ เดี๋ยวรินทร์ลงไปซื้อยาเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว” เธอพูดจบก็รีบแต่งตัวอย่างลวกๆ ลงไปยังร้านขายยาที่ใกล้ที่สุด ปล่อยให้ปราชญ์ได้ใช้เวลาในการสงบสติอารมณ์ตามลำพัง
ข่าวที่ได้ยินจากพี่ชายร่วมสายเลือดทำให้หนุ่มลูกเสี้ยวอารมณ์เสียแทบคลั่ง เขาทราบดีว่ามารดาในวัยหกสิบปีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงเพิ่มความถี่ในการบินกลับไปหาแทบทุกสัปดาห์ แต่พอถามว่าเป็นอะไรก็ไม่มีใครตอบ เพิ่งจะรู้ว่าป่วยเป็นโรคร้ายก็ตอนนี้นี่เอง
แม้จะรู้มาตลอดว่าบิดาจริงจังกับเรื่องงานมาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะรอจนกว่าโปรเจกต์ใกล้จบ จึงบอกความจริง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากลัวเขาแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้
แต่เขาเป็นลูก ต่อให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักชั่วคราวเพื่อกลับไปดูแลมารดาที่กำลังป่วย นั่นมันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ
ปราชญ์พยายามข่มอารมณ์โกรธ จัดเรียงลำดับความสำคัญเรื่องที่ต้องทำก่อนหลัง ทั้งๆ ที่ใจอยากจะบินกลับเดี๋ยวนี้ แต่พี่ชายของเขายืนยันว่ามารดายังแข็งแรงดี ควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ให้เสียเวลาอีก
หากไม่ต้องเดินทางก็หมายความว่าถึงเวลาที่เขาต้องลาจากรสรินทร์ แล้วเขาควรทำอย่างไรกับเธอดี ทว่าปราชญ์ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ว่าไงเอื้อ เดี๋ยวนะ มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหรอ… ใช่ เมื่อวานฉันไปกับนายก้องภพ พารินทร์ไปด้วย…”
ดูเหมือนว่าวันของปราชญ์จะยังเลวร้ายไม่มากพอ เพื่อนสนิทอย่างอธิคุณ โทร.มาเตือนเรื่องของรสรินทร์ว่าควรตัดสินใจให้เด็ดขาด เพราะต่อหน้าคนอาจยิ้มแย้มให้กับคำว่าแฟนที่เขาเรียก แต่ลับหลังทุกคนกลับกล่าวว่าเธอเป็นเพียงคู่ควงชั่วคราวระหว่างที่เขายังอยู่ประเทศไทย
‘ถ้าแกไม่พร้อมจะให้สถานะเขาจริงๆ ฉันหมายถึงแฟนจริงๆ ที่อนาคตจะแต่งงานกัน แกก็ไม่ควรรั้งตัวรินทร์ไว้ ยังไงเขาก็เป็นเด็กดี ไม่ควรจะต้องมาเจอกับเรื่องแย่ๆ แบบนี้เพียงเพราะปัญหาของพ่อแม่…’
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนพูดจาร้ายๆ กับรสรินทร์ แต่หากมีใครถามว่าเขาพร้อมที่จะขยับสถานะของเธอให้เป็นมากกว่านั้นหรือเปล่า ปราชญ์บอกได้เลยว่ายังไม่ถึงเวลา
นั่นคือคำตอบที่เขาให้ไว้กับบิดา ตั้งใจว่าจะรอจนกว่าศักดาจะเคลียร์หนี้สินทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วค่อยขยับสถานะ ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเสียแล้ว
“พี่ปราชญ์คะ” เสียงหวานสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังจะร้องไห้ ทว่ายังฝืนยิ้มจางๆ ก่อนขออนุญาตทำแผลที่มือของเขาด้วยตัวเอง
“ขอโทษนะรินทร์ เมื่อกี้พี่วู่วามไปหน่อย พอดีคุณแม่ไม่สบายมาก พี่คงต้องรีบเคลียร์งานแล้วกลับสิงคโปร์เลย”
“ค่ะ รินทร์เข้าใจ จริงๆ งานที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้วนะคะ เอกสารทุกอย่างก็เซ็นเรียบร้อยแล้ว ถ้าพี่ปราชญ์อยากกลับวันนี้ก็ออกเดินทางได้เลย มีอะไรสำคัญรินทร์ค่อยตามพี่ปราชญ์…”
“รินทร์ คุณแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย พี่คงไม่ได้มาที่ไทยอีกสักพักใหญ่ๆ รินทร์เข้าใจพี่ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ รินทร์เข้าใจ”
“เรื่องงานพี่รู้ว่าไว้ใจให้รินทร์ดูแลให้ได้ ถ้ามีอะไรก็ถามคุณแอน หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย พี่ชายของพี่คงจะมารับช่วงต่อ ส่วนรินทร์ก็ไปเป็นผู้ช่วยคุณแอนนะ พี่ฝากไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” รสรินทร์ตอบเสียงเบาแทบกระซิบ เริ่มตระหนักได้แล้วว่าเรื่องที่เธอเคยกลัวกำลังจะเป็นความจริง ต่างก็ตรงที่เหตุผลของการลาจาก มันน่าเศร้ากว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้มาก
คุณแม่ของเขาป่วย เธอจะรั้งตัวเอาไว้ได้อย่างไร
