ตอนที่ 9 เจ้าสั่งให้ผู้ใดหุบปาก
เรือนพักอันถง
“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”
“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”
“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”
“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”
“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”
“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”
“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”
“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”
“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”
คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายา
เพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้
วันถัดมา
“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”
“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”
“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเว่ยอ๋องอยู่ด้านหลัง ติดกับสระบัวเพคะ”
“ดี งั้นรีบแต่งตัวให้ข้าเถอะ”
“เพคะ”
สามวันถัดมา / ตำหนักไท่เฟย
“ซ่งฟางหรูถวายบังคมไท่เฟยเพคะ”
“เด็กดีลุกขึ้นเถอะ มา ๆ มานั่งนี่ ดูสิมาแต่เช้าเช่นนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
“ได้ข่าวว่าพระชายาเสด็จกลับมาที่ตำหนักแล้ว”
หยงไท่เฟยหุบยิ้มไปเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองอันถงที่ยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลัง ซ่งฟางหรูเห็นว่าพวกนางทำสีหน้าแปลก ๆ จึงได้เอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ แล้วเหตุใดเวลานี้แล้ว พระชายายังไม่เข้ามาถวายคำนับท่านอีกเพคะ”
“นั่นสิ หากว่าเจ้าไม่ได้เอ่ยทักข้าก็หลงลืมไปแล้ว เด็ก ๆ”
“เพคะไท่เฟย”
“ให้คนไปตามพระชายามา ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดนางถึงได้ไร้มารยาทถึงเพียงนี้ นี่มันเวลาใดแล้วเหตุใดจึงไม่มาถวายความเคารพตอนเช้า”
“เพคะไท่เฟย ….ถวายบังคมพระชายา”
ไม่ทันที่สาวใช้ทั้งสองจะเดินไปตามหลินเฟยลี่ นางก็เดินเข้ามาเสียก่อนพร้อมกับกวาดสายตาไปมองยังผู้ที่เป็นแขกที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้
ดูแล้วคงจะเป็นแม่นางซ่ง….ที่พี่สาวนางเคยเขียนบอกไว้ว่าเป็นหลานสาวของไท่เฟยที่นางหมายจะให้แต่งเข้ามาเป็นพระสนมของท่านอ๋อง
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา”
เฟยเย่หันไปมองผู้พูดที่ยังนั่งจิบชาอยู่ที่เก้าอี้ดังเดิม ไม่มีแม้แต่คำทักทาย
“ถวายบังคมไท่เฟย”
“พระชายา เจ้ากลับจวนไปนานจนลืมพิธีการถวายความเคารพผู้ใหญ่ไปสิ้นแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงได้พึ่งมาเอาป่านนี้ เจ้าดูฟางหรูเป็นแบบอย่างสินางเป็นแขกแต่กลับมาคารวะข้าแต่เช้า ไม่เหมือนเจ้าเป็นถึงพระชายา หึ น่าอับอาย คงเป็นเพราะ…”
“เป็นเพราะว่าหม่อมฉันเสียเวลาสั่งบ่าวไพร่ให้ไปทำความสะอาดที่หอบรรพชนสกุลเว่ยอ๋องตั้งแต่เช้า ดูเหมือนว่าที่นั่นจะขาดการดูแลเอาใจใส่มานาน ทั้ง ๆ ที่เป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของ “อดีตท่านอ๋องและพระชายาเอกพระมารดาของท่านอ๋อง” หม่อมฉันเลยสั่งให้คนไปทำความสะอาดใหม่ทั้งหมดเพคะ”
“เจ้า…นั่นมันกงการอันใด…”
“เพราะว่านาง….คือพระมารดาของพระสวามีหม่อมฉัน หากจะนับแล้วหม่อมฉันไปคารวะนาง ถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง พระองค์มิได้นับเป็นแม่พระสวามีของหม่อมฉันนะเพคะ
ที่มาที่นี่ช้าก็เพราะเหตุนี้ และมาบอกกล่าวว่าพระองค์ละเลยหน้าที่ดูแลตำหนัก “อีกแล้ว” หม่อมฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเบี้ยหวัดที่จ่ายให้สาวใช้เหล่านี้ จ่ายเพื่อให้มาเดินเล่นหรืออย่างไร”
“เจ้ากล้าดีเช่นไรถึงได้กล่าวหาท่านป้าข้าเช่นนี้ บังอาจ”
“หุบปาก!!”
หลินเฟยเย่หันไปตวาดและมองผู้ที่ลุกขึ้นชี้หน้าด่าว่านาง ซ่งฟางหรูเองก็ดูตกใจกับท่าทีนี้ หยงไท่เฟยนั้นหน้าซีดจนพูดไม่ออกตั้งแต่นางพูดถึงเรื่องหอบรรพชนแล้ว เพราะที่นั่นคือที่ที่นางเกลียดมากที่สุด ต่อให้นางยังมีตำแหน่งไท่เฟย แต่เมื่อตายไปก็มิอาจจะอยู่ร่วมหอบรรพชนสกุลอ๋องนั้นได้ นางจึงไม่นึกสนใจที่นั่นแม้แต่น้อย
“เจ้าสั่งให้ผู้ใดหุบปาก”
“ข้าสั่งเจ้านั่นแหละแม่นางซ่ง เจ้าเป็นผู้ใดกันมาที่นี่เพราะเหตุใด เจ้าเป็นแค่บุตรขุนนางระดับสองแต่กลับใช้วาจาเช่นนี้กับข้าซึ่งเป็นพระชายา อ่อ….ดูแล้ววงศ์ตระกูลพวกเจ้าคงสั่งสอนกันมาพอกัน”
“นี่เจ้า นังสารเลว..”
“ว่าอย่างไรนะ เจ้าบอกว่าข้าสารเลวงั้นหรือ ทหาร!!”
“พ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“หยุดนะพระชายาหลิน พวกเจ้าออกไปก่อน”
ไท่เฟยตะโกนขึ้นสั่ง ทหารอารักขาหันมามองพระพักตร์พระชายา เมื่อนางพยักหน้าพวกเขาจึงคำนับและเดินออกไปในทันที ไท่เฟยหันไปปรามให้ซ่งฟางหรูนั่งลงซึ่งท่าทีเช่นนี้ทำให้ฟางหรูไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“ฟางหรู คือ…”
“ซ่งฟางหรู ข้าเป็นเจ้าบ้านเจ้าเป็นแขกแต่ด้วยฐานะของข้าในตอนนี้คือพระชายาเว่ยอ๋อง แต่เจ้าเป็นบุตรขุนนางผู้ใดต้องถวายความเคารพข้าคงไม่ต้องสอนเจ้าใช่หรือไม่”
“ข้า เจ้ากล้าดีเช่นไร”
“ฟางหรู….นาง…พูดถูกแล้ว เจ้า…ถวายความเคารพพระชายาเถอะ”
“ไท่เฟยเพคะ”
“เร็วเข้า ข้าสั่ง!!”
ฟางหรูแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อหยงไท่เฟยเอ่ยขึ้นมาให้นางยอมคุกเข่าถวายความเคารพ แต่นางกลับทำอย่างลวก ๆ โดยย่อตัวลงเล็กน้อยเร็ว ๆ และพูดแบบไม่ใส่ใจเหมือนกับสาวใช้เมื่อวันก่อนไม่มีผิด
ไท่เฟยถึงกับจะท้วงแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากเมื่อวันก่อนที่นางสั่งโบยสาวใช้
“ถวายบังคมพระชายา”
“หืม…สกุลซ่งของเจ้าสั่งสอนให้ถวายความเคารพแบบขอไปทีกันเช่นนี้งั้นหรือแม่นางซ่ง”
“ให้ทำก็ทำแล้ว เจ้าจะ..”
“เพี๊ยะ!!”
“เจ้าตบข้า นังไพร่”
“เพี๊ยะ!!”
“ทหาร!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“จับนางเอาไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นเจ้าจะทำอะไร หยุดนะไท่เฟยเพคะ”
ทหารองครักษ์เดินเข้ามาจับแขนซ่งฟางหรูตามคำสั่งของพระชายา สายตาที่มองนั้นทำให้นางเริ่มรู้ว่านางท้าทายผิดคนผิดที่และผิดเวลา
นางหันไปมองเพื่อขอความช่วยเหลือจากไท่เฟยแต่ก็ดูราวกับว่าไท่เฟยเองจะไม่สามารถพูดอะไรได้เลย แม้แต่อันถงเองก็ยืนหน้าซีดราวกับไร้ชีวิต
นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ไม่นานนางที่ตั้งคำถามในใจอยู่ก็ถูกพระชายาหลินเตะที่เข่าจนนางต้องคุกเข่าลงเพราะความเจ็บปวด ทหารปล่อยตัวนางแล้วเดินออกไป
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าคุกเข่าให้ แต่เจ้าเป็นถึงบุตรีขุนนางแต่กลับถวายความเคารพไม่เป็น ข้าซึ่งเป็นบุตรคหบดีคงต้องสอนเจ้าหน่อย
พูดสิแม่นางซ่งหรือแม้แต่คำพูดเจ้าก็พูดไม่เป็น เสียทีที่เกิดเป็นบุตรขุนนางและเป็นหลานสาวหยงไท่เฟยเสียจริง”
ตัวนางสั่นไปทั้งตัวแต่นางขยับไม่ได้เพราะแรงที่เตะมาที่เข่านั้นทำเอานางลุกไม่ขึ้น ซ่งฟางหรูโกรธจนหน้าแดง แต่สายตาของพระชายาหลินที่มองมานั้นทำให้นางกลัว ไม่รู้ว่าความรู้สึกใดที่มากกว่ากันในตอนนี้ แต่ดูแล้วน่าจะอย่างหลังมากกว่า
“ถะ ถวายบังคม…พระชายาหลิน”
“เอาเถอะ แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าลืมว่าครั้งต่อไปก็ทำให้ถูกต้อง อย่าได้ให้ผู้อื่นเอาไปพูดลับหลังได้ว่าเป็นถึงหลานสาวหยงไท่เฟย แค่ถวายความเคารพก็ยังทำไม่เป็นเสียชื่อสกุลซ่งเจ้าเสียหมด”