ตอนที่ 7 พระชายากลับตำหนัก
จวนไท่เฟย
“ว่าอย่างไรนะ นางจะกลับไปที่ตำหนักงั้นหรือ แล้วโรคที่นางเป็นเล่า”
“เห็นว่าท่านหมอหลวงที่ส่งไปตรวจสอบแล้ว พระชายาหายเป็นปกติแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี แล้วเรื่องที่ส่งจดหมายให้นางไป นางตอบกลับมาหรือยัง”
“ยังเลยเพคะ”
“หึ ช่างเถอะ ข้าไปรอเอาคำตอบที่ตำหนักอ๋องก็ได้ ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดนะ”
“ยังไม่มีข่าวเลยเพคะ”
“นั่นยิ่งดีใหญ่ ข้าจะได้หาข้ออ้างจัดการนังโง่นั่นได้ หัวอ่อนเช่นนั้นคงอีกไม่นานหรอก ทรัพย์สินเหล่านั้นนางไม่อยากให้ก็ต้องให้”
“ไท่เฟยปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ”
“อันถง เจ้านี่รู้ใจข้าเสียจริง”
“มิได้เพคะ ขอเพียงได้อยู่รับใช้ไท่เฟยและท่านอ๋อง…อันถงก็พร้อมถวายชีวิตให้ทั้งสองพระองค์”
“ดี งั้นพวกเราก็คงได้เวลากลับไปรอต้อนรับพระชายากันแล้วละ สั่งให้คนเตรียมตัวกลับตำหนักได้แล้ว”
“เพคะไท่เฟย”
สามวันถัดมา
“ลี่….ลี่เอ๋อร์ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากนะเข้าใจหรือไม่”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ครบกำหนดร้อยวันพี่…น้องรองเมื่อใดข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ”
เฟยเย่สูดหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมกับหันมายิ้มให้บิดาของนางก่อนจะเดินขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปยังตำหนักท่านอ๋อง
ตำหนักท่านอ๋อง
“พระชายา ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก อาจิงเราเข้าไปกันเถอะ”
“เพคะ”
หลินเฟยเย่เดินลงรถม้าเพื่อเข้าไปในตำหนัก ดูเหมือนข่าวที่ว่าหยงไท่เฟยกลับมาถึงตำหนักก่อนหน้านางนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะในตำหนักมีการจัดเตรียมความพร้อมและทำความสะอาดอย่างดี
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องแวะทักทายนางก่อนสินะ”
“คุณหนู…เอ่อ พระชายาเพคะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอก เรามาที่นี่เพราะอะไรเจ้าลืมแล้วงั้นหรือ”
“เพคะ”
เฟยเย่หันไปมองบ่าวไพร่และสาวใช้ในตำหนักที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจพระชายาที่พึ่งเดินเข้ามา พวกเขาทำราวกับว่านางเป็นเพียงสาวใช้ที่เดินเข้าออกในตำหนักเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้นางได้อ่านจากบันทึกของเฟยลี่มาก่อนแล้ว
“นี่สินะ ฐานะพระชายาที่พวกนางหวังให้ข้าเป็น”
“พระชายาเพคะ ดูเหมือนว่าพวกเขา....”
“เจ้าดูให้ดีนะอาจิง นี่เจ้าสองคนน่ะ มานี่”
สาวใช้ทั้งสองคนที่ถูกเรียกไว้ชักสีหน้าไม่พอใจในทันทีที่ถูกเรียกแต่ก็ยอมเดินมาหาพระชายาที่พึ่งกลับเข้ามา พวกนางถวายความเคารพอย่างลวก ๆ
“ถวายบังคมพระชายา”
“เดี๋ยวก่อน จะไปไหน”
“พวกข้ามีงานต้องทำอีกมาก หากว่าท่านไม่มีอะไรจะสั่ง…”
“เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!”
“กรี๊ด…พระ…พระชายา เหตุใดท่าน”
“สามหาว เจ้ากล้าพูดคำสามัญกับข้าเชียวงั้นหรือ ทหาร!!”
ทหารองครักษ์ด้านหน้าประตูเป็นคนของท่านอ๋อง พวกเขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เมื่อพวกเขาวิ่งมาและถวายคำนับพระชายาตามศักดิ์อันสมควร
“พระชายา มีเรื่องใดสั่งการพ่ะย่ะค่ะ”
“บ่าวไพร่ในตำหนักที่ไม่เชื่อฟัง พวกเรามีวิธีการสั่งสอนเช่นไร”
“โทษสถานเบาคือเฆี่ยนด้วยแส้ โบย โทษหนักคือนำออกไปขายพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี เช่นนั้นจับพวกนางไปโบยคนละสิบไม้”
“ท่านสั่งโบยพวกข้าเพราะเหตุใดกัน นี่ท่าน…”
“เพี๊ยะ!!”
“ปากเจ้าเรียกข้าว่าพระชายา แต่วาจาเจ้าช่างสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ดูท่าแล้วตำหนักอ๋องแห่งนี้คงต้องจัดระเบียบสาวใช้กันใหม่ทั้งหมดสินะ”
“พระชายา พระองค์มีสิทธิ์อันใดที่…”
"ข้ามีสิทธิ์เต็มที่ในฐานะพระชายาท่านอ๋อง เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้ครึ่งหนึ่งเหตุใดแค่บ่าวเพียงสองคนจะจัดการไม่ได้ หรือพวกเจ้าว่าอย่างไร พวกท่านเป็นทหารองครักษ์ที่ท่านอ๋องทรงวางพระทัย ท่านคิดว่าที่ข้ากล่าวไปนั้น ถูกหรือไม่”
ทหารองครักษ์รีบตอบไปในทันทีเมื่อพระชายาเอ่ยคำถามเหล่านี้ขึ้นมา
“กราบทูลพระชายา พระองค์มีสิทธิ์สั่งสอนบ่าวไพร่สาวใช้ในตำหนัก หน้าที่นี่เป็นของพระชายาท่านอ๋องมิผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าได้ยินชัดหรือยัง เช่นนั้นก็โบยพวกนางตรงนี้ ตอนนี้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายา โปรดอภัยหม่อมฉันด้วย บ่าวเพียงพลั้งปาก..”
“พลั้งปากงั้นหรือ อ้อ เช่นนั้นเองสินะ”
“เพคะ เพคะ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกแล้วเพคะ”
“อ้อ เช่นนั้นเองแค่พลั้งปาก เฮ้อ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
อาจิงแปลกใจจนหันไปมองหน้าพระชายา สาวใช้ทั้งสองต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกและหันไปยิ้มเยาะเย้ยเพราะคิดว่านางทำได้แค่ข่มขู่เท่านั้นแต่ว่า…
“เช่นนั้นครั้งนี้ก็ถือว่าข้าพลั้งปากเช่นกัน ที่สั่งลงโทษโบยพวกเจ้า ทหาร โบยพวกนางเดี๋ยวนี้!!”
สาวใช้ทั้งสองรีบคุกเข่าด้วยความกลัว เหตุใดจู่ ๆเมื่อพระชายาที่หัวอ่อนกลับมาในครั้งนี้เมื่อมาถึงกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นดุดันเช่นนี้ แล้วยังสั่งทหารจับพวกนางโบยด้วย
“โอ๊ย พระชายาเพคะ โปรดปรานีด้วย หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอทรงอภัย โอ๊ย!!”
เสียงสาวใช้ทั้งสองถูกโบยเริ่มดังขึ้น บ่าวไพร่และสาวใช้คนอื่น ๆ ต่างลอบมองดูและคาดไม่ถึงว่าจะเป็นพระชายาผู้หัวอ่อนและไม่กล้าสู้คนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่สั่งโบยสาวใช้ทั้งสอง
เสียงนั้นดังจนหยงไท่เฟยเดินออกมาพร้อมกับคนที่ประคองนางออกมา นางเป็นสตรีที่มีใบหน้าหมดจดดูน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
“นั่นพวกเจ้าทำสิ่งใดกัน!!”
“ไท่เฟยเพคะ โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย”
“ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุดโบยงั้นหรือ โบยต่อสิ”
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!! กล้าดีเช่นไรสั่งโบยสาวใช้ในตำหนัก”
หลินเฟยเย่หันไปมองผู้ที่ตะคอกเสียงดังอยู่ด้านหลัง นางมองสตรีสูงอายุในชุดสีเข้มพร้อมกับผู้ติดตามข้างกายที่เป็นสตรี พวกนางคือหยงไท่เฟยและอันถงไม่ผิดแน่นอน
หยงไท่เฟยหันไปมองใบหน้าที่แข็งกร้าวและสายตาดุดันที่เปลี่ยนไปของพระชายาหลินที่มองนางอย่างไม่ได้นึกเกรงกลัวเฉกเช่นก่อนที่นางจะป่วย
“ข้าถามว่าเจ้า…ใช้สิทธิ์อันใดสั่งโบยบ่าวไพร่!!”
“ถวายบังคมหยงไท่เฟย”
“ข้าถามว่าเจ้า…"
“พระองค์ถามได้ถูกต้องเพคะ หม่อมฉันสั่งโบยสาวใช้เพราะพวกนางมิได้ทำความเคารพ หม่อมฉันเป็นถึงพระชายาเว่ยอ๋อง ปกครองตำหนักนี้ร่วมกับท่านอ๋อง สิทธิ์และอำนาจแม้จะไม่ได้มากเท่ากับไท่เฟยแต่ข้าก็เป็นพระชายาท่านอ๋อง หากบ่าวไพร่ในตำหนักแม้แต่ทำความเคารพนายยังทำไม่เป็น ก็ดูน่าสงสัยว่าก่อนหน้านี้คงขาดการอบรม ศีลธรรมต่ำทราม ไร้กฎระเบียบไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ผู้ใดไม่ทราบคงคิดว่าตำหนักอ๋องไม่มีผู้ที่มีความรู้คอยดูแลอบรมบ่าวไพร่”
“หลิน…เฟยลี่!! เจ้า…เจ้าหาว่าข้าละเลยบ่าวไพร่ไม่สั่งสอนงั้นหรือ”
“เปล่าเพคะ ไท่เฟยเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ช่วยสั่งสอนบ่าวไพร่ชั้นต่ำที่ไม่รู้จักแม้แต่เคารพเจ้านายในตำหนักเท่านั้น”
“หรือไท่เฟยหมายจะให้บ่าวไพร่พวกนี้ทำเรื่องน่าอับอายจนคนเอาไปพูดได้ว่าไท่เฟยเลอะเลือนแม้แต่บ่าวไพร่สาวใช้ก็ไม่มีปัญญาสั่งสอน แก่แล้วแก่เลยไร้ความรู้ความสามารถ อยู่เฝ้าตำหนักดั่งหุ่นไม้กระบอกกลวง ๆ กันเล่าเพคะ”
“เจ้า!! เจ้า…นัง…”
“เพคะ หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ เอาเป็นว่าหน้าที่สั่งสอนพวกนางหม่อมฉันจะดูแลต่อเอง ไม่ลำบากไท่เฟยเพคะ”
“พระชายา หม่อมฉันขออนุญาตบังอาจ....”
“หากรู้ว่าบังอาจก็จงหุบปากเน่า ๆ ของเจ้าไปถงอิน เจ้าเองก็มิได้ต่างกันเลย เป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟย แต่กลับละเลยหน้าที่ปล่อยให้สาวใช้เหล่านี้ทำตัวไร้กฎระเบียบ หรือว่าเจ้าตั้งใจให้ไท่เฟยเลอะเลือนเช่นนี้กันแน่!!”
“บ่าวมิกล้า พระชายาอย่าได้กล่าวหาหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันเพียงแค่…”
ถงอินเริ่มสะอื้น ไท่เฟยหันไปและดึงตัวนางขึ้นมาพร้อมกับดึงนางไปอยู่ด้านหลัง เฟยเย่เข้าใจแล้ว นางใช้ไม้นี้เองสินะ หยงไท่เฟยถึงได้รักนางนัก
“เจ้าคิดว่ายอมคุกเข่าแล้วบีบน้ำตานิดหน่อยก็จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปงั้นหรือถงอิน”