ตอนที่ 5【2】
การจัดงานเพื่อพบปะ วิจารณ์งานศิลป์ มิสามารถทำให้พวกเราค้นพบภาพหายากและมีมูลค่าได้เลย คาดว่าปีนี้คงต้องส่งเพียง 2 ชิ้นเข้าร่วมแข่งขันขอรับ”
“สิ่งที่นำไปร่วมแข่งขันจำเป็นต้องเป็นสิ่งของหายากเพียงเท่านั้นหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงกล่าวถามอีกครั้ง
“ตั้งแต่แคว้นฉินตกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นจ้าว ในแต่ละปีที่ส่งเครื่องบรรณาการไปก็มักจะเป็นสิ่งของทั้งนั้นขอรับ เหตุใดท่านอ๋องน้อยจึงอยากรู้เกี่ยวกับเครื่องบรรณาการเล่าขอรับ” ท่านเจ้าเมืองตอบและเอ่ยถามกลับด้วยความอยากรู้ หรือว่าเด็กน้อยตรงหน้ามีสิ่งที่สามารถนำไปแข่งขันได้
“ท่านเจ้าเมืองคิดว่า วิธีการถนอมอาหารให้เก็บไว้กินได้นาน เป็นสิ่งหายากและมีมูลค่าเพียงพอต่อการเข้าร่วมแข่งขันหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคง หาได้เอ่ยคล้ายเป็นเรื่องล้อเล่นไม่
“วิธีการถนอมอาหารเช่นนั้นหรือขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็มิเคยมีเมืองไหนเสนอเอาวิธีการถนอมอาหารมาร่วมการแข่งขันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ใช่แล้วท่านเจ้าเมือง วิธีการถนอมอาหารให้เก็บไว้กินได้นาน ยกตัวอย่างเช่น เนื้อที่ต้องใช้การหมักเค็มแต่ก็ติดปัญหาเรื่องเกลือที่มีราคาแพง ผักและผลไม้ต่าง ๆ ที่ต้องทิ้งไปเนื่องจากกินไม่ทันเพราะพวกมันสุกหรือเน่าไปเสียก่อน แต่ถ้าเราเผยแพร่การถนอมอาหารให้กับชาวเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหน ๆ เช่นนี้จะทำให้ชาวบ้าน พ่อค้าแม่ค้ามิต้องทิ้งของสด ผัก และผลไม้ทิ้งอีกต่อไป”
จางอี้หมิงตอบคำถามคล้ายกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญ ซึ่งแตกต่างจากท่านเจ้าเมืองและคุณชายหวงที่นั่งตาเบิกกว้างกับข้อมูลที่ได้รับรู้ในครั้งนี้ด้วยความประหลาดใจ
นี่ยังเป็นเด็กเพียงห้าขวบอยู่หรือ เหตุใดจึงมีความคิดล้ำลึกเช่นนี้
“แต่ว่ามันมีปัญหาอยู่หนึ่งอย่างที่ข้ายังคิดไม่ตกว่าสมควรจะแก้ไขเช่นไรดี” จางอี้หมิงยังเอ่ยเล่าเรื่องราวต่อไป
“เป็นเรื่องอันใดหรือขอรับ” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามขึ้นหลังจากตั้งสติได้แล้ว
“เกลือเป็นสินค้าควบคุม ราคาแพง และชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ถือครองหรือทำการค้าเกลือ มิเช่นนั้นจะถูกจับกุมและลงโทษสูงสุด ข้าอยากรู้ว่ามีหนทางไหนที่ชาวบ้านจะสามารถผลิตเกลือและทำการค้าขายได้อย่างอิสระบ้าง นั่นคือความกังวลของข้า” จางอี้หมิงบอกกล่าวออกไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ผลิตเกลือหรือขอรับ ท่านอ๋องน้อยพูดว่าผลิตเกลือหรือขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองถึงกลับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจและลืมเรื่องมารยาทไปเสียสิ้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากคุณชายหวงแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นมิใช่ว่าท่านอ๋องน้อยรู้วิธีผลิตเกลือใช่หรือไม่ขอรับ” คุณชายหวงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ
“ใช่ ข้ารู้วิธีการผลิตเกลือ ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะผลิตเกลือออกมาขาย แต่ก็จนใจเรื่องของข้อกฎหมาย จึงยังมิได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ผู้ใดขอรับ”
“ท่านอ๋องน้อย ท่านจะทำให้ข้าตกใจตายเลยใช่หรือไม่ขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองกล่าวเสร็จแล้วก็นั่งลงคล้ายหมดแรง มิสามารถทรงตัวอยู่ได้ เช่นเดียวกับคุณชายหวงที่เพียงนั่งลงอย่างสงบเรียบร้อย
“มิใช่ว่าท่านอ๋องน้อยวางแผนและคิดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ท่านกำลังถือโอกาสนี้ทำเรื่องการค้าเกลือได้อย่างเสรีในช่วงที่แต่ละเมืองค้นหาเครื่องบรรณาการและแข่งขันกัน ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านได้คิดล่วงหน้าไว้แล้วว่าท่านพ่อต้องยินยอมให้เอาวิธีการถนอมอาหารเข้าร่วมการแข่งขัน แต่วิธีการถนอมอาหารจะสำเร็จได้นั้น ต้องมีวัตถุดิบที่สำคัญอย่างเกลือ หากราชสำนักมิยินยอมให้เกลือค้าขายได้อย่างอิสระ เครื่องบรรณาการก็จะไม่เกิดขึ้น
จากการคำนวณของท่านอ๋องน้อย ท่านมีความมั่นใจว่าวิธีการถนอมอาหารจะต้องชนะการแข่งขัน เนื่องจากท่านนำข้อเสียเปรียบด้านสภาพอากาศของแค้วนเจ้ามาเป็นจุดจูงใจ ไม่ทราบว่าที่ข้ากล่าวมานั้นถูกต้องหรือไม่ขอรับ”
คุณชายหวงคาดเดาแผนการของท่านอ๋องน้อย ซึ่งจางอี้หมิงก็มิแปลกใจเลยว่าคุณชายหวงจะมองแผนการณ์นี้ออก
ใช่แล้ว เขาวางแผนนี้ไว้ตั้งแต่รู้ว่าเกลือเป็นสิ่งที่มีค่าและหายาก ถูกราชสำนักควบคุม และอีกไม่นานจะมีการคัดเลือกเครื่องบรรณาการ จากการเล่าเรื่องนี้ของเถ้าแก่หลิน เขาจึงวางแผนและอดทนมาตลอดหลายเดือน รวมทั้งการเปิดรับคู่ค้า เปิดสอนการทำอาหารให้เหล่าชาวบ้านในฐานะของเหลาอาหารซิ่งฝู
ในการทำเช่นนี้นอกจากจะสามารถควบคุมสินค้าเกี่ยวกับอาหารไว้เบ็ดเสร็จ ยังสามารถควบคุมเหล่าพ่อค้าไว้ได้ในจุดเดียวกัน ต่อให้มีการแบ่งแยกชนชั้นเช่นไร มนุษย์ก็ต้องการอาหารเป็นสิ่งแรกในการดำรงชีวิต หากควบคุมเส้นทางการค้าและอาหารได้ ก็เหมือนควบคุมและมีอำนาจที่มองไม่เห็นมาต่อรองได้
เพราะเช่นนี้เขาจึงยอมรับตำแหน่งอ๋องน้อยของแคว้นเหลียง ยอมแสดงออกว่ายอมแพ้เหลาเฟิงฟู่เพื่อซื้อใจเหล่าพ่อค้าและชาวเมือง
และในตอนนี้...สิ่งที่เขาคาดการณ์และวางแผนไว้ก็เป็นไปตามที่เขาคำนวณไว้ทั้งหมด
มีเพียงแต่การที่เขาถูกทำร้ายในคืนเทศกาลประจำปีเมืองไห่ถังเท่านั้นที่ผิดคาด เมื่อหายดีแล้วคงต้องตอบแทนบ้านซุนที่ไม่ถือโทษโกรธเคืองเขาแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ถือว่ามีแต่เรื่องร้ายเสียทีเดียว เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนเองมีหน่วยเหลียงไป๋ที่ท่านอ๋องมอบมาให้อีก 10 คน ต่อไปนี้การดำเนินการณ์ต่าง ๆ ก็คงสะดวกและง่ายขึ้น
ก็เขานะ มีขาทองคำหนุนหลังอยู่หลายคนเชียวนะ
“ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยเอาแต่เล่นซนจนเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ คุณชายหวงมิเอ่ยชมข้าเกินไปหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ คล้ายเด็กที่ใสซื่อ ไม่เข้าใจในคำกล่าวของคุณชายหวง
“มิเกินไปแน่นอน ข้าก็เห็นด้วยกับหรานเอ๋อร์เช่นกัน เรื่องนี้สมควรเก็บเป็นความลับนะขอรับ ข้าเกรงว่าหากหลุดรอดออกไปทั้งที่เรายังไม่มีแผนการรับมือจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย ข้าว่าเรื่องนี้คงต้องคุยรายละเอียดและวางแผนกันให้รอบคอบ ในตอนนี้ท่านอ๋องน้อยยังบาดเจ็บ สมควรพักรักษาตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน ยังพอมีเวลากว่าจะถึงการแข่งขัน
ระหว่างนี้ข้าจะเข้าไปสืบความในเมืองหลวงเรื่องเกลือให้ อีก 15 วัน พวกเราค่อยมาคุยกันอีกครั้ง ในตอนนั้นท่านอ๋องน้อยคงค่อยยังชั่วแล้ว ท่านอ๋องน้อยเห็นเป็นเช่นไรขอรับ” ท่านเจ้าเมืองเสนอความเห็นยาวเหยียด
จางอี้หมิงเห็นด้วย พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองกลับมาจากเมืองหลวงแล้ว เมื่อได้ข้อสรุปก็มีการถามไถ่เรื่องทั่วไปกันอีกไม่นาน ท่านเจ้าเมืองกับคุณชายหวงก็ขอตัวกลับไป
จางอี้หมิงจึงแยกไปพักผ่อนเพราะท่านหมอกู้มาตามตัวแล้ว อีกอย่างเขาก็คงลืมไปจริง ๆ ว่าตนเองกำลังบาดเจ็บอยู่ และร่างกายนี้ก็เป็นเพียงเด็กห้าขวบเท่านั้น การนอนพักผ่อนกลางวันก็เป็นเรื่องที่เด็กทั่วไปเขาทำกัน คงมีแต่เขาละมั้งที่ทำงานตลอดเวลา
เป็นไงล่ะ ทำตัวเป็นเด็กได้สมจริงมากหรือไม่อานนท์เอ๊ย เด็กก็ต้องซนใช่หรือไม่ นี่อย่างไรเล่า ซนจนทำให้ตนเองกับสองพี่น้องบ้านจางอยู่ในอันตรายไปเลย
เห้อ! ปวดหัวกับความซวย