บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4【2】

“ท่านแม่ ข้าอยู่ตรงนี้ขอรับ หมิงเอ๋อร์อยู่ตรงนี้”

หลี่อ้ายได้ยินเสียงบุตรชายจึงได้ก้มหน้าลงมา เมื่อเห็นว่าเป็นบุตรชายตัวน้อยที่นางร้องไห้คร่ำครวญหาตลอดเวลาก็ถึงกับร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งและตะแคงตัวเองโอบกอดเอาเด็กชายมาไว้ในอ้อมกอด รัดแน่นจนจางอี้หมิงจมลงไปในอกของมารดา นางกอดบุตรชายไว้แน่นเพื่อเตือนตัวเองว่าบุตรของนางยังไม่ตาย ยังอยู่กับนางจริง ๆ

“ทะ ท่านแม่ ข้าหายใจไม่ออกขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยกระท่อนกระแท่นเนื่องจากถูกมารดากอดแน่นจนเกินไป

ขืนเป็นแบบนี้อีกสักพักเขาได้ตายจริงแน่

“น้องหญิง เจ้าปล่อยหมิงเอ๋อร์ก่อน” จางอี้เทารีบเตือนภรรยา

“หมิงเอ๋อร์ แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ” หลี่อ้ายที่ยังปรับอารมณ์ไม่ได้ ยังรู้สึกสับสนและสติเลื่อนลอยเนื่องจากผ่านความเสียใจมามาก แต่อีกสักพักก็ดีใจจนไม่รู้ว่าต้องจัดการกับอารมณ์ของตนเองเช่นไรจึงได้แต่กอดบุตรชายและร้องไห้ออกมาเพียงเท่านั้น

“ทะ ท่านแม่เล่า ท่านแม่ล่ะเจ้าคะ” หลี่อ้ายนึกขึ้นได้ว่ามิได้มีเพียงบุตรชายเท่านั้น ยังมีมารดาสามีอีกคนหนึ่ง

“น้องหญิงมิต้องเป็นกังวล ท่านแม่ปลอดภัยดี ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ที่ห้องของลี่เอ๋อร์” จางอี้เทารีบเอ่ยอธิบายให้ภรรยาได้เบาใจ

“ท่านแม่หิวหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามมารดา

“หมิงเอ๋อร์ แม่ไม่หิว” หลี่อ้ายที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกแล้ว เอ่ยตอบบุตรชายเสียงเหนื่อยล้า

“พี่ว่าน้องหญิงลุกไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนเถิด แล้วมากินข้าวสักนิด น้องหญิงจะได้มีแรง ลุกไหวหรือไม่ ต้องการให้พี่ช่วยหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยแนะนำภรรยา เขาไม่ต้องการให้นางเจ็บป่วยไปอีกคน

หลี่อ้ายทำตามคำแนะนำของสามี นางลุกไปจัดการตนเอง จางอี้เทาเองก็อยู่ดูแลภรรยาไม่ห่าง ผ่านไปสักพักเจียวเม่ยจึงยกข้าวต้มเข้ามาให้หลี่อ้ายและออกปากอาสาว่าจะดูแลหลี่อ้ายให้ จางอี้เทาและจางอี้หมิงจึงออกมาที่ลานบ้านซึ่งเหล่าชาวบ้านกำลังประชุมกันอยู่ สองพ่อลูกเดินไปนั่งข้าง ๆ บ้านซุน

“เอาล่ะหมิงเอ๋อร์ ตอนนี้คงถึงเวลาที่เจ้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟังได้แล้วใช่หรือไม่”

“ท่านพ่อ หลังจากที่ข้ากับท่านย่าลงไปอยู่ที่ห้องลับได้ไม่นาน ข้ามีลางสังหรณ์ขอรับว่าการปล้นในครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จากหนังสือที่ข้าอ่านตั้งแต่อยู่ที่เมืองหลวง ข้าจึงบอกให้ท่านย่าขึ้นมาจากห้องลับแล้วอาศัยว่าเป็นคืนเดือนมืด หลบเข้าไปในป่า ด้วยไม่มีไฟส่องนำทาง อาศัยเพียงความเคยชินและยังต้องพาท่านย่าออกไปด้วย อากาศที่หนาวเย็นทำให้การเดินล่าช้า พวกข้าถูกกิ่งไผ่ กิ่งหนามทิ่มแทงไปหลายแผล

เราสองคนไปหลบอยู่ที่ถ้ำบนเขาที่ข้าเคยพาท่านพ่อไปดูแล้วบอกว่าจะเอาไว้สำหรับเก็บถังหมักสุรา พวกเราหลบอยู่ในถ้ำตลอดทั้งคืน พอรุ่งเช้าท่านย่าเหนื่อยมากและข้าอยากมั่นใจว่าพวกโจรไปกันหมดแล้วจึงเริ่มลงเขากลับมาที่บ้านขอรับ แต่ก็ตกใจมากที่บ้านพังมอดไหม้ไปหมดแล้ว จึงคิดว่าท่านพ่อต้องมาอยู่ที่บ้านซุนนี่ขอรับ”

จางอี้หมิงเอ่ยเล่าตั้งแต่ต้นจนจบในคราวเดียว เขาไม่ลืมเอ่ยย้ำถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองตัดสินใจแบบนี้ ในเมื่อไม่สามารถบอกว่าเป็นสิ่งที่เขาอ่านและเรียนรู้มาจากเมืองสวรรค์ เด็กน้อยจึงแปลสาสน์ออกมาเป็นเมืองหลวงแทน

จางอี้เทาเข้าใจที่บุตรชายสื่อสารออกมา จึงตอบรับได้อย่างไม่มีสิ่งใดดูแปลกประหลาดในคำพูดนั้น

“ท่านพ่อ แล้วทางนี้ในหมู่บ้านเกิดอันใดขึ้นบ้างขอรับ”

จางอี้หมิงเมื่อได้อธิบายทางด้านของตนเองแล้วจึงได้ถามกลับมายังด้านหมู่บ้านบ้าง จางอี้เทาเริ่มต้นเล่าให้ฟังตั้งแต่ตนเองเดินมารวมตัวกับชาวบ้าน หัวหน้าโจรให้ลูกน้องซ้อมชาวบ้านคนหนึ่งที่ขัดขืนและสุดท้ายคือหัวหน้าโจรสั่งให้เผาบ้านจางเนื่องจากขัดขืนคำสั่ง

“...หลังจากที่พวกโจรจากไปแล้ว พ่อและมารดาเจ้า รวมถึงชาวบ้านจึงได้ตรงไปยังบ้านของเรา แต่มันก็สายเกินไปเพราะไฟได้ลุกไหม้เกินกว่าที่จะดับลงได้ มารดาเจ้าเห็นเช่นนั้นจึงได้เป็นลมไม่ได้สติจนมาถึงวันนี้ เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหละหมิงเอ๋อร์”

“ท่านพ่อ รบกวนบอกประโยคที่หัวหน้าโจรพูดกับท่านพ่ออีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเฉลียวใจว่าสิ่งที่ตนคิดอาจจะเป็นความจริงขึ้นมา

“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการขัดคำสั่ง ข้าบอกให้สมาชิกทุกคนของหมู่บ้านหลัวถงมารวมตัวกันที่นี่แต่ก็มีบางคนขัดคำสั่ง เช่นนั้นหากข้าไม่สั่งสอนพวกเจ้าคงไม่หลาบจำ ไปจัดการ”

“ท่านพ่อจากประโยคที่หัวหน้าโจรพูดขึ้นมา คล้ายว่าหัวหน้าโจรรู้ว่าข้ามิได้อยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงได้จุดไฟเผาบ้านของเรา ท่านพ่อคิดเหมือนข้าหรือไม่ ท่านปู่ถงคิดเหมือนข้าหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดาและหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อยืนยันให้มั่นใจอีกครั้ง

“พ่อคิดเช่นเดียวกับเจ้า”

“ปู่ก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า”

“เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะบอกว่าการปล้นในครั้งนี้คงเกิดจากความตั้งใจและพวกโจรรู้จักพวกเราดีงั้นหรือ?” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นมา

“ขอรับ ข้าว่าพวกโจรต้องตั้งใจมาปล้นหมู่บ้านของเราและต้องรู้จักพวกเราดีด้วย” จางอี้หมิงยืนยันความคิดของตนเอง

“แต่หมิงหมิงน้อย พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แล้วเราจะไปทำอันใดให้พวกโจรขัดข้องใจกันเล่า” ซุนถงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ท่านปู่ ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับว่าหมู่บ้านหลัวถงทำการค้ากับกองกำลังเหลียงอัน เพียงเหตุผลนี้ก็ทำให้กลุ่มโจรเดาได้แล้วว่าเราต้องมีเงินทองมากมาย ข่าวที่เราขายเกลือผักและน้ำตาลผัก ต่างเล่าลือไปทั่วเมืองไห่ถัง” จางอี้หมิงอธิบาย

“โชคดีที่เราฝากเงินไว้กับร้านแลกเงินจินฟู่ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะลำบากไปมากกว่านี้หรือไม่” ซุนซูเย่เอ่ยเสียงเครียด

“แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดโจรถึงรู้ว่าข้าหายตัวไป” จางอี้หมิงเปรยออกมา

“หรือว่าโจรหมายถึงชาวบ้านคนอื่น” ซุนถงแสดงความคิดเห็น

“ข้าว่าไม่น่าจะใช่ เพราะโจรเผาบ้านข้าเพียงบ้านเดียว” จางอี้เทาตอบคำถามของซุนถง

“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงสนับสนุนบิดา

“เช่นนั้นพวกเราสมควรทำเช่นไรต่อไป” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเพื่อถามหาข้อสรุป

“ท่านพ่อ ข้าว่าท่านปู่ถงกับท่านพ่อ พวกท่านเข้าไปในเมืองเถอะขอรับ ต้องให้ท่านปู่ถงไปแจ้งเรื่องกับท่านเจ้าเมือง ท่านพ่อไปหาท่านปู่บุญธรรมอาจจะพอมีอาหารหลงเหลือนำกลับมาให้ชาวบ้านได้บ้าง สำหรับท่านลุงเย่รบกวนพาข้ากับชาวบ้านชายหลายคนหน่อย ออกไปล่าสัตว์หรือหาผักป่าตามภูเขา ท่านป้าเจียวเม่ยพาท่านป้าสักสิบคนไปเก็บหญ้าสายรุ้งมานะขอรับ”

จางอี้หมิงแจกแจงงานที่ทุกคนต้องทำออกไปตามสมองน้อย ๆ จะคิดได้

“หมิงหมิงน้อย ในตอนนี้เรายังจะทำเกลือผักอีกหรือ” เจียวเม่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะเกลือยังก็เป็นเครื่องปรุงมิใช่อาหาร

“ท่านป้าเจียวเม่ย ข้าไม่ได้เอาหญ้าสายรุ้งมาทำเกลือผักขอรับ แต่จะเอามาทำอาหารให้ทุกคนในหมู่บ้านต่างหากเล่าขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้ท่านป้าเจียวเม่ยได้เข้าใจ

“เช่นนั้นหรอกหรือ ได้ ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเราแยกย้ายกันไปทำตามที่หมิงหมิงน้อยบอกกันเถอะ” ซุนถงเคาะเกราะบอกกับทุกคน

“อย่าลืมนะ ต้องเอาอาหารมาไว้ที่กองกลาง พวกเราจะช่วยกันทำและกินด้วยกัน โดยให้เด็กกับผู้หญิงได้กินก่อน หลังจากนั้นค่อยเป็นคนหนุ่มสาว อดทนกันอีกนิด พวกเราต้องผ่านไปได้ ภัยหนาวที่เลวร้ายพวกเรายังผ่านมาได้ ขอทุกคนอย่าได้ยอมแพ้” ซุนซูเย่เอ่ยให้กำลังใจทุกคนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะแยกตัวไปเตรียมเดินทางออกหาอาหารตามภูเขา

ซุนถงและจางอี้เทานั่งเกวียนของลุงผินเข้าไปในเมือง เจียวเม่ยรวบรวมหญิงสาวชาวบ้านไปเก็บต้นหญ้าสายรุ้งตามที่จางอี้หมิงได้บอกไว้ อาห้าวเป็นตัวแทนชาวบ้านชักชวนชายหนุ่มอีกห้าหกคนไปล่าสัตว์บนภูเขา

ส่วนจางอี้หมิงและซูเย่รวมทั้งชาวบ้านอีกห้าคนที่เคยไปด้วยกันในการหาต้นลูกหนามแยกตัวออกมาแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาด้วย

พวกเขารวมพลังกัน เพื่อช่วยให้ทุกคนในหมู่บ้านหลัวถงผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ บนภูเขาคงจะยังพอมีสิ่งใดสักอย่างที่นำมาทำอาหารได้บ้าง

ทั้งหญ้าสายรุ้งที่สตรีทั้งหลายไปเก็บ ทั้งสัตว์ป่า ทั้งพืชพรรณและทั้งความหวังจากซุนถงกับจางอี้เทา สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยในการรอดชีวิต

ถึงแม้มันจะดูน้อยนิด แต่ความสามัคคีนี้คงจุดประกายความหวังขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel