บท
ตั้งค่า

3. จางอี้หมิง【2】

“ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้”

สุดท้ายแล้ว จางอี้เทาก็ยินยอม เขาเองคิดมาสักพักแล้วเช่นกันว่าจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร

“ท่านแม่ ข้าขอโทษ น้องหญิง พี่ขอโทษ ข้าเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง” 

“ท่านพี่ อย่าได้โทษตัวเองเลยนะเจ้าคะ” หลี่อ้ายกระชับมือที่กุมกันไว้

“อาเทา ไม่เป็นไรนะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” หูไป๋หงขยับไปกอดบุตรชาย สมาชิกตระกูลจางสายรองกอดกันแน่นกลมเกลียว มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามอบอุ่นหากไม่ใช่เวลาเช่นนี้

บทสนทนาที่จางอี้หมิงได้ยินทำให้เขาแอบอมยิ้ม นี่สินะคำว่าครอบครัวที่เขาไม่เคยมี แต่ยิ้มได้เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ต้องเครียดหนัก อาหารที่เพิ่งกินไปมันปราศจากซึ่งรสชาติ จืดยิ่งกว่าน้ำล้างจานแม้ว่าจะไม่เคยชิมน้ำล้างจานก็เถอะ เขาเป็นคนที่ทำอาหารมาหลายปี ได้กินไปเพียงหนึ่งชามถึงกับถอนหายใจ ยิ่งหันไปมองตัวบ้านที่อาศัยอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก

ไอ้นนท์นะไอ้นนท์ เกิดใหม่ทั้งทีแต่ไม่มีของวิเศษอะไรสักอย่าง ชีวิตในโลกเก่าก็ปากกัดตีนถีบ หาทางทำให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาตลอด พอมาเกิดใหม่แล้วก็ยังต้องมาลำบากอีก แถมเป็นแค่เด็กห้าขวบ เขาจะเอาทักษะอะไรไปช่วยพ่อแม่รวมทั้งท่านย่าของร่างนี้กันล่ะ

หัวจะปวด!

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะหายไว ๆ ต่อไปไม่ต้องซื้อยามารักษาข้าแล้ว พวกท่านดูสิ เวลาพูดข้าไม่เหนื่อย ข้าตัวเล็กนิดเดียว กินไม่เยอะ ข้าจะไปช่วยทำงานด้วยดีหรือไม่ขอรับ”

ในเมื่อไม่มีทางอื่น เขาก็ต้องอยู่ให้ได้ จางอี้หมิงลุกขึ้นและเข้าไปสวมกอดทั้งสามคน พร้อมกับคำพูดที่คิดว่าดีพอสำหรับเวลานี้

บิดามารดารวมถึงท่านย่าถึงกับผละตัวออกจากอ้อมกอดของกันและกัน แล้วรวบเอาร่างของเด็กชายตัวน้อยเข้าไปกอดไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู ตัวแค่นี้ก็รู้ความเสียแล้ว ทั้งยังคิดอ่านจะช่วยเหลือครอบครัวอีก

“ตัวแค่นี้จะช่วยอะไรได้กันฮึ” หูไป๋หงเอ่ยเย้าหลานชายพร้อมกับจับจมูกโด่งงามนั้นขยับไปมาเบา ๆ 

“ได้สิขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ทำไร่ ขอข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” 

“ไม่ได้ เจ้าเพิ่งฟื้นไข้วันนี้ จะออกไปตากแดดตากลมได้เช่นไรกัน รอให้หายดีเสียก่อน แล้วพ่อจะพาเจ้าไปที่ไร่ของท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วย” จางอี้เทาลูบศีรษะบุตรชาย 

“พ่อว่าเจ้าต้องชอบแน่ เพราะเขามีเด็ก ๆ อายุเท่ากันกับลูกด้วยนะ”

“ไปพรุ่งนี้ได้หรือไม่ขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ เชื่อฟังท่านพ่อ ถ้าลูกแข็งแรงแล้วจริง ๆ ท่านพ่อจะพาลูกไปเอง อย่าดื้อ” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงดุ จางอี้หมิงถึงกับหน้ามุ่ย คอตก พาตัวเองไปล้มตัวลงนอนอย่างเงียบ ๆ 

“เป็นอะไรหมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงโกรธบิดาเช่นนี้”

“เปล่าขอรับ ท่านพ่อบอกว่าให้ข้ารีบหายและแข็งแรงไวๆ ข้าจึงต้องนอนให้เยอะ ๆ เผื่อพรุ่งนี้ท่านพ่อจะให้ข้าไปที่ไร่ด้วย ข้าคิดถูกหรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยตอบเสียงซื่อ

ทั้งสามคนถึงกับเผลอยิ้มออกมากับความคิดแบบเด็ก ๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าท่าทางเช่นนั้นคืออาการต่อต้านเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

อาจจะเพราะเพิ่งฟื้นไข้และร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง จากที่กำลังงอนบิดาอยู่ดี ๆ จางอี้หมิงก็หลับไปจริง ๆ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางหลังบ้าน ล้างหน้าล้างตาให้ปลอดโปร่งและเริ่มมองหาต้นตอของเสียงน่าสงสัย

เดินมาไม่นาน เด็กชายก็เห็นท่านย่าของตนเองกำลังตัดฟืนจากไม้อันเล็ก ๆ นางตัดไว้จำนวนเยอะพอสมควร

“ท่านย่า ตัดฟืนหรือขอรับ”

“อ้าว หมิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”

“ข้าสบายดีขอรับ แข็งแรงขึ้นมาก ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ข้าสามารถวิ่งรอบบ้านได้สามรอบเลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบหญิงชรา เขาวิ่งไปรอบ ๆ ย่าของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดเกินจริง

“หมิงเอ๋อร์ พอก่อน ย่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย มา ๆ ช่วยย่าเอาฟืนเข้าไปในบ้าน ย่ากำลังจะทำอาหารไปส่งให้พ่อกับแม่ของเจ้าที่ทำงานในไร่”

จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาเดินไปช่วยหูไป๋หงเก็บฟืนเข้าบ้าน นำไปวางใกล้ ๆ กับพื้นที่ซึ่งแยกไว้เป็นส่วนครัว 

“โอ้โหท่านย่า เก่งมากเลยขอรับ ท่านย่าจุดไฟได้”

จางอี้หมิงเอ่ยชม จากความทรงจำที่ได้รับมา ท่านย่าของเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยต้องทำงานหนัก เพราะเป็นฮูหยินที่ท่านปู่รักมาก ท่านย่าจึงอยู่ในเรือนอย่างสะดวกสบาย มีบ่าวรับใช้ทำให้ทั้งหมดมาโดยตลอด

เขาไม่นึกว่าท่านย่าที่ทำอันใดไม่เป็นเลยจะสามารถก่อไฟต้มข้าวเองได้

“หมิงเอ๋อร์ ประหลาดใจใช่ไหมเล่า ย่าของเจ้ายังทำอาหารได้ด้วยนะ ลูกสะใภ้หัวหน้าหมู่บ้านสอนพวกเรามากมาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อร่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ แค่มีอาหารให้กินก็ดีที่สุดแล้ว” นางตอบ

“ท่านย่ากำลังทำอันใดหรือขอรับ” 

“ย่าจะทำโจ๊กธัญพืชผักป่า เมื่อวานพ่อของเจ้าได้ผักป่ามาไม่น้อย วันนี้ต้องทำไปมากหน่อย แม่ของเจ้าไปทำงานวันแรก ไม่รู้จะเป็นเช่นใดบ้าง” 

“ข้าจะช่วยท่านย่าเองขอรับ” จางอี้หมิงบอกหญิงชรา เขาหันซ้ายหันขวาและเดินตรงไปที่ตะกร้าผัก

“ข้าขอเอาผักไปล้างน้ำ แต่ว่าข้าจะเอาไปล้างได้ที่ไหนหรือขอรับ” จางอี้หมิงหยิบตะกร้าขึ้นมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปล้างได้ที่ไหน

“หมิงเอ๋อร์ เดินออกไปไม่ไกล มีลำธารเล็ก ๆ ติดกับบ้านของเรา เจ้าเอาผักไปล้างที่นั่นได้ แต่ระวังหน่อยนะ ถึงแม้ว่า ลำธารจะไม่ลึก แต่อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะกลับมาเป็นไข้” นางหูไป๋หงเอ่ยเตือนหลานชายด้วยความเป็นห่วง ลำธารที่สูงแค่หัวเข่าไม่ได้น่ากลัวเท่าความเย็นจากสายน้ำ

“ท่านย่ารอข้าสักครู่นะขอรับ ข้าสัญญาว่าจะไปไม่นาน”

จางอี้หมิงถือตะกร้าผักขนาดเล็กเดินไปตามทางที่ท่านย่าชี้นิ้ว เขาลัดเลาะมาเรื่อย ๆ ตามที่ท่านย่าได้บอกไว้ ไม่นานนักก็เจอลำธารสายเล็ก ๆ ผืนน้ำใสไหลเอื่อยมองเห็นหมู่มัจฉาตัวน้อยแหวกว่ายเลาะโขดหิน แม้มีไม้ยืนต้นไม่หนาตาเท่าใดนัก แต่ก็ช่วยให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี

ตรงริมตลิ่งเป็นบริเวณที่ราบเรียบ มีการถางหญ้าและทำแคร่ไม้ไผ่ไว้ใกล้ ๆ ซึ่งจางอี้เทาทำไว้สำหรับเป็นท่าอาบน้ำ ซักล้างต่าง ๆ หรือล้างผัก เด็กชายตัวน้อยรีบเดินไปตรงนั้น มือเล็ก ๆ หยิบผักออกมาจากตะกร้าเพื่อทำความสะอาด ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย จางอี้หมิงหิ้วตะกร้าขึ้นมาเตรียมเดินกลับบ้าน

ระหว่างทางเด็กชายเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย เขาซึมซับบรรยากาศดี ๆ ต้นไม้สูงใหญ่สีเขียว นกน้อยส่งเสียงบรรเลงเพลงไพเราะ หันไปทางไหนก็สบายตา แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งที่ชักจูงให้สองเท้าเล็ก ๆ ตรงปรี่เข้าไปหา มันคือบึงน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก แสงแดดสะท้อนลงมาเผยหน้าคลื่นระยิบระยับ จางอี้หมิงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาก้มลงมองผืนน้ำ แต่แล้วก็ต้องตาโตและอุทานออกมาเสียงดัง

รอดตายแล้วเรา!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel