3. จางอี้หมิง【1】
อานนท์ในร่างเจ้าตัวน้อยนามจางอี้หมิงนอนคิดทบทวนเรื่องราวไปมาอยู่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เขาพยักหน้าบอกตนเองให้ทำใจยอมรับและสุดท้ายก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงมารดาเอ่ยเรียกชื่อ
“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนนานไปแล้วนะ ลุกขึ้นมาคุยกับแม่หน่อยเถอะ”
เสียงหวานปนเศร้าปลุกให้จางอี้หมิงลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย
“ท่านแม่...”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาของผู้เป็นแม่เบิกกว้าง รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนใบหน้างาม “รอเดี๋ยวนะ แม่ไปบอกท่านพ่อของเจ้าก่อน”
หลี่อ้ายรีบลุกขึ้นยืน นางเดินแกมวิ่งออกจากห้อง ปล่อยให้บุตรชายนอนรออย่างเงียบสงบ ดวงตากลมโตมองตามร่างของนางไปจนพ้นขอบประตู ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ
เขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีที่ในตอนนี้ต้องมาทำตัวเป็นเด็กห้าขวบ ก็ไม่เท่าไรหรอก ต่างกันแค่ยี่สิบปีปีเอง...ซะที่ไหนล่ะ
เมื่อครู่แค่ตื่นมาปั้นหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ ยังยากแทบแย่ จะแนบเนียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอด เขาคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่และคอยบอกตัวเองให้ยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่ใช่อานนท์ วังศรีซ้าย แต่คือ จางอี้หมิง เด็กน้อยอายุห้าขวบ
“หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้วจริงหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามภรรยา ในขณะที่ทั้งสองเดินตรงมายังที่ที่บุตรชายนอนอยู่
“จริงเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเห็นกับตา หมิงเอ๋อร์ยังเรียกข้าด้วย” หลี่อ้ายยืนยัน นางเดินนำสามีไปหาบุตรชายตัวน้อย
“หมิงเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่” จางอี้เทานั่งลงบนฟูกนอนข้าง ๆ จางอี้หมิง ดวงตาประกายของเด็กน้อยจ้องมองมาอย่างน่ารัก เรียวปากเล็ก ๆ เอ่ยตอบบิดา
“ท่านพ่อ...ข้าไม่เป็นไรแล้วขอรับ เพียงแค่เหนื่อยเล็กน้อย”
“ดี ดีมาก ดีจริง ๆ” น้ำเสียงคนเป็นพ่อสั่นเครือด้วยความยินดี “ขอบคุณสวรรค์ที่ยังไม่พรากหมิงเอ๋อร์ไปจากครอบครัวเรา”
“หมิงเอ๋อร์ หิวไหมลูก รอแม่สักครู่นะ” หลี่อ้ายถามเสียงชื่นมื่น นางไม่รอให้เด็กน้อยตอบและหันไปบอกสามี
“ท่านพี่ไปหาน้ำมาให้หมิงเอ๋อร์ล้างหน้านะเจ้าคะ ข้าจะไปทำโจ๊กมาให้หมิงเอ๋อร์ ลูกน่าจะหิวมาก”
“ได้สิ หมิงเอ๋อร์ รอพ่อสักครู่นะ”
จางอี้เทากุลีกุจอเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับอ่างใบเล็กและผ้าสีขาว ชายหนุ่มชุบผ้าลงในน้ำสะอาด บิดเอาน้ำออกให้พอหมาดและนำมาลูบไล้ใบหน้าของบุตรชาย เขาเทียวเช็ดไปเรื่อย ๆ ผ้าสีขาวถูกชุบน้ำรอบแล้วรอบเล่า สัมผัสผ่านแขนขาทั้งสองข้างและลำตัวอย่างอ่อนโยน เมื่อเสร็จแล้วจึงนำเสื้อผ้าออกมาสวมใส่ให้เด็กชายก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่อ้ายจึงเดินยกชามโจ๊กเข้ามา นางตั้งใจทำอาหารมื้อแรกหลังจากที่บุตรชายฟื้นให้อย่างดี น่าเสียดายที่สามารถทำได้แค่นำธัญพืชหยาบผสมกับน้ำข้าวเละ ๆ อาศัยใช้น้ำเป็นส่วนมากในชาม แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ จางอี้หมิงที่รู้สึกไม่หิว ท้องร้องขึ้นมาได้
โครก...
“ท่านพี่ ข้าจะป้อนโจ๊กหมิงเอ๋อร์ ลุกมานั่งทางนี้ก่อนเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงนุ่ม อี้เทาพยักหน้าและรีบสลับที่ให้ภรรยาได้นั่งข้างบุตรชายเพื่อป้อนโจ๊ก
“กินเยอะ ๆ นะหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายเฝ้าบอกทุกครั้งที่บุตรตัวเล็กกลืนอาหารลงท้อง เด็กน้อยกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยท่ามกลางสายตาห่วงใยของผู้เป็นพ่อแม่ อานนท์ในร่างอี้หมิงรู้สึกดีกับสิ่งเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูก เขาอ้าปากรับโจ๊กน้ำอีกคำและอีกคำ จนในที่สุด ชามก็ว่างเปล่าโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว นางหูไป๋หงเดินถือถ้วยยาต้มตามเข้ามาด้านใน ยานี้ได้มาจากท่านหมอผิง มันจะช่วยทำให้หลานของนางแข็งแรง
“ท่านย่า ข้าหายดีแล้ว ไม่ดื่มได้หรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงชำเลืองตามองยาสีน้ำตาลที่ท่านย่าถือเข้ามาก็ถึงกับหน้าเสีย มันมีกลิ่นเหม็นเขียวจนเขาถึงกับต้องเบือนหน้าหนี เด็กน้อยอ้อนวอนสุดฤทธิ์สุดเดช แต่เมื่อลูกอ้อนใช้ไม่ได้ผลก็ร้องงอแงเสียงดังลั่น เดือนร้อนถึงจางอี้เทาต้องทั้งขู่ทั้งปลอบ กว่าบุตรชายจะยอมดื่มยาต้มถ้วยนั้น
“หมิงเอ๋อร์ อมนี่ไว้ จะได้ลดขม”
ท่านย่ายื่นน้ำตาลก้อนเล็ก ๆ ให้ นางรู้ดีว่าหลานชายเกลียดการดื่มยามากที่สุด ยิ่งมองก็ยิ่งหดหู่ใจ เมื่อก่อนน้ำตาลก้อนเท่านี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัวจางเลย ทว่าในตอนนี้กลับต้องไปขอจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน นางหูไป๋หงแอบเบือนหน้าหนีซ่อนน้ำตาที่กำลังจะรินไหลออกมาเอาไว้
“ท่านพี่ วันนี้ช่างเป็นวันดียิ่งนัก หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว ข้าคิดว่าจะไปช่วยท่านพี่ทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน เราไปทำสองคนอาจจะได้ธัญพืชเพิ่ม” หลี่อ้ายพูดขึ้นก่อนจะถามความเห็นสามี
“ให้หมิงเอ๋อร์อยู่กับท่านแม่ ท่านพี่เห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
“น้องหญิง แต่เจ้าไม่เคยได้ทำงานพวกนี้มาก่อน พี่กลัวว่าเจ้าจะเจ็บไข้ไปอีกคน มือของเจ้าเคยจับแต่เข็มปักผ้า จะให้ไปจับจอบจับเสียม แล้วเจ้าจะทำได้เช่นไร”
“ท่านพี่ก็ไม่เคยจับจอบจับเสียม เคยแต่จับพู่กัน เพื่อครอบครัวแล้วท่านยังทำได้ ข้าก็จะเป็นเช่นท่านพี่” เสียงหวานตอบด้วยความอ่อนโยน นางคว้ามือหนามากอบกุมเอาไว้
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หมิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้ว เราต้องการอาหาร อีกอย่าง ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ถ้าไม่ตุนเสบียงเอาไว้มาก ๆ ข้าเกรงว่าพวกเราคงผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปไม่ได้ ท่านพี่ให้ข้าได้ลองไปดูก่อนเถิดนะเจ้าคะ”
“อาเทา แม่จะดูแลหมิงเอ๋อร์ให้เอง พวกเจ้าไปทำงานให้สบายใจเถอะ” หูไป๋หงพูดเสริม สายตามองมายังบุตรชายที่กำลังคิดหนัก