ตอนที่ 6 ถ้าต้องการ...ก็ต้องได้
ตอนที่ 6 ถ้าต้องการ...ก็ต้องได้
ส่วนทางนรีกานต์ก็เม้มริมฝีปากบางเข้าหากันแน่น ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าคนตรงหน้าเขม็งเมื่อโดนสบประมาทว่าเป็นผู้หญิงหากิน เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้ชายจะต้องคิดว่าเธอต้องเป็นผู้หญิงขายตัวด้วยทั้งที่เมืองไทยและที่นี่หรือว่าเธอมีอะไรที่มันไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วๆ ไป
“ถึงดิฉันจะเป็นผู้หญิงต่างชาติแต่ก็มีปัญญาหากินอย่างสุจริตค่ะไม่ได้คิดที่จะมาขายเนื้อหนังเหมือนกับผู้หญิงที่คุณเคยเจอมา แล้วก็ขอโทษทีเถอะนะคะ ที่คุณคิดได้แบบนั้น เพราะในสมองของคุณมีแต่เรื่องตัณหาราคะ หรือเป็นเพราะว่าจิตของคุณผิดปรกติกันแน่” สาวไทยย้อนกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่เผ็ดร้อน เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับหน้าชายืนนิ่งอึ้งไป
“ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วย! แล้วก็นี่..ฉันให้เอาไว้ล้างปากเน่าๆ ของคุณ!” หญิงสาวกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะหยิบสินค้าตัวอย่างยัดใส่มือชายหนุ่มหนึ่งชิ้น แล้วรีบเดินไปขึ้นแท็กซี่ที่จอดส่งผู้โดยสารอยู่ที่ข้างถนนพอดี สาวไทยบอกสถานที่ที่จะไปกับคนขับ จากนั้นรถจึงเคลื่อนตัวออกไป ใบหน้าสวยงอง้ำ ก่อนจะเอนหลังพิงกับเบาะนั่งและพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจ วันนี้คงเป็นวันซวยของเธอถึงได้เจอแต่ผู้ชายเฮงซวย
ส่วนทางด้านชายหนุ่มยังคงยืนมองตามท้ายรถแท็กซี่ไปด้วยแววตาดุดันก่อนจะหรี่ลงและพึมพำออกมาเบาๆ
“เราได้เจอกันอีกแน่สาวน้อย” รอยยิ้มมุมปากของชีคหนุ่มกระตุกอย่างน่ากลัว ขนาดองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับเสียวสันหลัง ซาบาชลอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักใจ เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องเล็กๆ นี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียแล้ว
หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มาเมื่อวานนี้ นรีกานต์ก็หวังว่าในวันนี้จะมีแต่เรื่องที่ดีๆ เข้ามา แต่แล้วเรื่องที่หญิงสาวคาดหวังเอาไว้ก็พังทลายลง เพราะในตอนสายของวันนั้น หลังจากที่นรีกานต์กลับมาจากการออกไปพบลูกค้ากับเพื่อนพนักงานชาวดาบิย่า เธอก็ถูกเรียกตัวเข้าไปที่ห้องผู้บริหารอย่างเร่งด่วน คิ้วเรียวของนรีกานต์ขมวดมุ่นอย่างสงสัยขณะเดินไปทางห้องผู้บริหาร เพราะจะมีผู้บริหารคนไหนให้เธอพบอีก ในเมื่อคุณโทมัสก็เดินทางกลับประเทศไทยแบบเร่งด่วนไปเมื่อเช้ามืดนี้เอง เนื่องจากบริษัทที่เมืองไทยเกิดปัญหา
หญิงสาวเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ เมื่อเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องผู้บริหารระดับสูง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะตามมารยาท ครู่ต่อมาประตูห้องก็เปิดออกโดยมือของชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง สาวไทยก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับมองปราดไปที่โต๊ะทำงานทันที แต่เธอก็ยังไม่เห็นหน้าของคนที่เรียกพบตัวเธอ เพราะอีกฝ่ายนั่งหันหลังอยู่
“เชิญนั่ง” น้ำเสียงแข็งกระด้างดังขึ้น เมื่อร่างบางเดินมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆ หมุนเก้าอี้กลับมา
‘เจ้าชายชารีฟ’ ทันทีที่นรีกานต์เห็นหน้าของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ถึงกับอุทานในใจ และผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ร่างทั้งร่างเย็นวาบเหมือนกับโดนน้ำเย็นๆ ราด หัวใจดวงน้อยเต้นถี่ยิบด้วยความกลัว สิ่งที่เธอกลัวเกิดขึ้นแล้วจริงๆ เจ้าชายคงกริ้วเธอมากถึงได้มาถึงที่ทำงานของเธอ แล้วนี่ใครจะช่วยเธอได้ล่ะ คุณโทมัสก็ไม่อยู่ เธอคงต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะงานนี้
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความตื่นกลัวของตัวเอง ก่อนจะย่อตัวลงทำความเคารพชายหนุ่มสูงศักดิ์ แล้วก้าวไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม
“ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ และแปลกใจ” ชีคหนุ่มกระตุกมุมพระโอษฐ์ขึ้นอย่างเยาะๆ พร้อมกับกวาดสายพระเนตรไปทั่วดวงหน้าเรียว ก่อนจะรับสั่งขึ้นอีกครั้ง
“ผมไม่คิดเลยนะว่านางแบบบนเวทีคนนั้น จะเป็นคนคนเดียวกับคุณ และเป็นคนที่กล้าปฏิเสธคำเชิญจากผม”
“เอ่อ...หม่อมฉัน...เอ่อ พอดีวันนั้นหม่อมฉันมีงานด่วนเข้ามาน่ะเพคะ หม่อมฉันก็บอกกับคนของพระองค์ไปแล้วนี่เพคะ” นรีกานต์พยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น และบอกตัวเองในใจให้ทำใจดีสู้เสือเอาไว้
“คนของผมบอกผมแล้ว แต่ผมให้คนของผมตรวจดูตารางงานของคุณในวันนั้นแล้ว คุณไม่มีงานที่ไหนเลย” ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มหรี่ลง
“เอ่อ...คือว่า...วันนั้นหม่อมฉันเหนื่อยมากจึงอยากพักผ่อนมากกว่าอย่างอื่นเพคะ” นรีกานต์มองพระพักตร์คมคายไม่เต็มตานัก และหาทางออกให้กับตัวเองอย่างดีที่สุด
“คุณคิดจะหาข้อแก้ต่างให้กับตัวเองอีกเหรอ ผมจะบอกให้คุณรู้เอาไว้นะว่า ผมเกลียดคนที่โกหกหลอกลวงมากที่สุด” พระสุรเสียงแข็งกระด้างขึ้นกว่าเดิม
“หม่อมฉันไม่ได้โกหก หม่อมฉันแค่ปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการจะทำก็เท่านั้น แต่ถ้าเรื่องนั้นทำให้พระองค์ทรงกริ้ว หม่อมฉันก็ขอประทานอภัยโทษด้วยเพคะ” นรีกานต์เริ่มเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง เพราะรู้สึกไม่พอใจกับรับสั่งที่ทำเหมือนกับเธอเป็นคนผิด
“อย่ามาทำเสียงแข็งหรือประชดใส่ผม! ให้รู้ตัวเองเอาไว้ด้วยนะว่าตัวคุณอยู่ในฐานะอะไร แล้วผมเป็นใคร ชีวิตและหน้าที่การงานของคุณอยู่ในกำมือของผม ถ้าผมโกรธขึ้นมาล่ะก็ทุกอย่างจบแน่” ทรงตวาดใส่หญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่ริมพระโอษฐ์ข้างขวาจะยกขึ้นอย่างพอพระทัย เมื่อเห็นสาวไทยนั่งก้มหน้านิ่ง
ส่วนนรีกานต์นั้นเมื่อได้ฟังรับสั่งจากเจ้าชายชารีฟ เลือดในกายก็ถึงกับเดือดด้วยความโมโห แต่ก็ต้องก้มหน้า เม้มริมฝีปากเพื่อข่มมันเอาไว้ ดวงตาคู่สวยมองนิ่งไปที่มือเรียวบนตักของตนเอง ซึ่งกำเข้าหากันแน่นเพื่อระงับอารมณ์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่กินใจ
“แค่ถูกปฏิเสธ แต่กลับใช้อำนาจทำลายชีวิตคนคนหนึ่งให้พังย่อยยับ มันจะไม่เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือเพคะ ถึงที่นี่จะเป็นประเทศของพระองค์ แต่บริษัทนี้ไม่ใช่ของพระองค์ พระองค์จะมาตัดสินแทนเจ้าของบริษัทไม่ได้”
“พูดมีเหตุผลดีนี่” ชีคหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างเยาะพร้อมกับลุกขึ้น แล้วเดินมาหยุดยืนทางด้านหลังของหญิงสาว และรับสั่งต่อ
“แสดงว่าโทมัสไม่ได้บอกกับคุณสินะว่าบริษัทนี้ ผมก็มีหุ้นส่วนอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมก็คือผู้บริหารอีกคนของที่นี่ มีสิทธิ์ในการตัดสินใจใดๆก็ตาม เหมือนกับโทมัส” คำชี้แจงของราชนิกูลหนุ่มเล่นเอานรีกานต์ถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะถึงกับหน้าถอดสีเลยทีเดียว
‘นี่เราคงไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมเนี่ย เขา...เขาเป็นเจ้าของที่นี่ ตาย ตายแน่ๆ นรีกานต์ มีหวังได้ตกงานคราวนี้แหละ’ สาวไทยลอบคิดในใจพร้อมกับกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ
“คุณรู้ไหมว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าหยามเกียรติของผมแบบคุณมาก่อนเลย คุณกล้ามากนะ...นรีกานต์” เขาเน้นชื่อเธอเสียงลอดไรฟัน จนคนฟังถึงกับเย็นวาบทั้งสันหลัง
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้พระองค์ทรงกริ้ว แต่วันนั้นหม่อมฉันไม่ต้องการไปไหนจริงๆ นี่เพคะ” นรีกานต์บอกโดยที่ไม่ได้หันมามองคนทางด้านหลังแม้แต่น้อย มือเรียวเย็นเฉียบที่จับกันอยู่บนตักถูกันไปมาอย่างหวาดๆ ถ้าถูกไล่ออกจากงานที่นี่ เธอก็คงเสียดายมาก เพราะงานดีๆ แถมเงินเดือนก็ดีแบบนี้จะไปหาได้ที่ไหนอีก
“ดีที่กล้าพูด ผมจะได้ตัดสินใจอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น” ชารีฟกระตุกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง สายตาคมจ้องใบหน้าเนียนที่ค่อนข้างซีดอย่างสะใจ ที่ทำให้อีกฝ่ายกลัวได้
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีก เพราะคุณจะต้องเข้าไปช่วยงานผมในวัง” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งต่ออย่างช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่! หม่อมฉันจะไม่ย้ายไปไหนทั้งนั้น!” นรีกานต์ปฏิเสธเสียงกร้าว พร้อมกับลุกพรวดขึ้นอย่างลืมตัว ความกลัวเมื่อครู่จางหายไปจนหมดสิ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องถูกย้ายไปที่ไหน หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจะโดนแก้แค้น ที่กล้าไปปฏิเสธคนอย่างเขาซึ่งเป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ นี่มันเป็นเวรหรือกรรมตั้งแต่ชาติปางไหนของเธอ ถึงต้องมาพบเจอแต่คนที่จ้องจะเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา
“คุณจะไม่คิดก่อนเหรอ ก่อนที่จะปฏิเสธผม” ชีคหนุ่มยังคงนั่งยิ้มกริ่มอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไม่จำเป็นต้องคิดเลยเพคะ พระองค์ใช้เรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน ทรงคิดที่จะแกล้งหม่อมฉันเพราะหม่อมฉันปฏิเสธการไปร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์แค่นั้นเอง นี่นะเหรอคนที่จะเป็นกษัตริย์ในอนาคต ทรงไม่มีความเมตตา ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด ถ้าจะทรงไล่หม่อมฉันออกก็เชิญเลยเพคะ” นรีกานต์จ้องตอบอีกฝ่ายอย่างโมโห พร้อมกับย่อตัวลงทำความเคารพเจ้าชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังประตู แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงักยืนนิ่ง เพราะคำรับสั่งที่ดังตามหลังมา
“อะไรที่ผมสั่งไปแล้ว ทุกคนต้องทำตาม และถ้าคุณขัดคำสั่งของผมล่ะก็ ไม่ใช่แค่ตัวคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะเดือดร้อน ผมพอจะรู้มาว่าเพื่อนของคุณที่ชื่อรติรส เป็นคนรักของโทมัสอยู่ไม่ใช่เหรอ กำลังมีอนาคตที่สดใสเลยนะ คุณอยากให้ทุกอย่างมันพังทลายลงเหรอไง” รับสั่งจบวรกายสูงก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาสาวไทยอย่างช้าๆ
นรีกานต์หันกลับมามองอีกฝ่ายตาขวาง ตอนนี้ความโกรธของเธอสุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้แล้ว แต่ให้อีกฝ่ายเป็นเสือสิงห์ เธอก็ไม่กลัวอีกแล้ว
“ทรงต้องการอะไรกันแน่เพคะ ถ้าต้องการแก้แค้นหม่อมฉัน ก็มาลงที่หม่อมฉันคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย อย่าทรงพาลเหมือนเด็กเล็กๆ ไปหน่อยเลยเพคะ” มือเรียวเกร็งกำแน่น สายตาสบกับนัยน์ตาวาวโรจน์ของชายหนุ่มตรงหน้านิ่ง
“ผมไม่ได้พาล แต่ผมเอาจริง จำเอาไว้นะว่าคนอย่างผม ถ้าต้องการอะไรแล้วต้องได้ และไม่สนใจว่าจะต้องได้มาด้วยวิธีใด ผมจะให้เวลาคุณจนถึงเย็นนี้ คนของผมจะไปรับคุณที่คอนโดที่พัก แล้วถ้าภายใน 1 ทุ่ม ผมยังไม่พบคุณที่วังล่ะก็ บอกให้เพื่อนของคุณเตรียมตัวรับความพินาศในชีวิตได้เลย”
“ทรงเห็นแก่ตัวที่สุด!” สาวไทยกระแทกเสียงที่สั่นเครือด้วยความโกรธใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“ฮึ ฮึ ถ้าจะโกรธก็โกรธตัวคุณเองเถอะที่เป็นคนเริ่มเรื่องราวทั้งหมด ถ้าคุณไม่ปฏิเสธผมในวันนั้น ทุกอย่างก็จบ” พระหัตถ์ใหญ่นุ่มจับปลายคางเรียวบีบเบาๆ พร้อมกับหัวเราะเยาะในลำคอ นรีกานต์ปัดพระหัตถ์แกร่งออกอย่างแรง ก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะเธอกลัวเขา แต่เป็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ เอาไว้ไม่ได้ แล้วเผลอทำร้ายร่างกายของชีคหนุ่มมากกว่า และถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงโดนประหารชีวิตที่นี่แน่ๆ