ตอนที่ 4 ความแตกต่าง
อันนาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงมาเป็นเวลาสามวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายป่วยสักที โดยมีแม่บ้านของที่นี่ผลัดเปลี่ยนกันคอยดูแลเธอเป็นอย่างดีตลอดเวลา
"อันไม่หิวค่ะ" สามวันแล้วที่เธอแทบจะไม่ยอมทานอะไรเลย ถึงทานก็ทานเพียงนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ และนี่คงเป็นเหตุผลที่เธออาการยังหนักอยู่
"แต่ฉันว่าคุณควรทานอะไรหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะยิ่งทรุดลงไปอีกได้"
"..." ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ อันนาเพียงแค่หลับตาลงเบาๆ นั่นคือคำตอบที่ไม่จำเป็นต้องพูด
"ถ้าคุณหิว คุณเรียกฉันได้ตลอดนะคะ" แม่บ้านวัยกลางคนเดินถือถาดอาหารลงมาจากห้องนอนส่วนตัวของคามินเหมือนเช่นทุกวัน
"ทำไมอาหารยังเหลือเหมือนเดิม" คามินที่กำลังจะเดินขึ้นไปบนห้องพอดีถามขึ้นเสียงเรียบ
"เธอไม่ยอมทานอะไรเลยค่ะ" ตั้งแต่วันที่ให้หมอมาตรวจดูอาการของเธอ เขาเองก็ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปดูเธออีกเลยสักนิดเดียว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านไป
"เอากลับขึ้นไป เดี๋ยวฉันจัดการเอง"
"ได้ค่ะนาย"
อวดดีแบบเธอมันต้องเจอแบบเขาสิถึงจะเอาอยู่ คามินเดินนำแม่บ้านขึ้นไปชั้นบน ที่ตอนนี้ห้องนอนของเขาถูกคนอวดดีครอบครองไปแล้ว จนทำให้เขาต้องย้ายตัวเองออกไปนอนที่ห้องทำงานแทน เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ห้องนอนมีเยอะแยะทำไมเขาต้องให้นางบำเรออย่างเธอเข้ามาอยู่ในห้องของเขาด้วย
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงรีบหลับตาลงทันที เพราะไม่อยากจะคุยกับใครในประโยคเดิมซ้ำๆ
"ลุกขึ้นมากินข้าว" เสียงเข้มของคามินเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเห็นร่างบางนอนอยู่บนเตียง
"ฉันไม่หิว" อันนาปฏิเสธทั้งที่ยังหลับตา
"แต่เธอต้องกิน ลุกขึ้นมา" มือหนากระชากแขนเล็กดึงให้คนที่ยังนอนนิ่งลุกขึ้นจากที่นอน
อันนาได้แต่นั่งนิ่งเบือนหน้าหลบสายตา ยิ่งเห็นหน้าเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ที่เธอเป็นอยู่แบบนี้ก็เพราะเขาเป็นคนทำทั้งนั้น
"จะกินเองหรือจะให้ฉันป้อนเลือกเอา" คามินเดินไปหยิบข้าวต้มร้อนๆ ที่โต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งที่มีคนตัวเล็กกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่
"..."
"อันนา! อย่าให้ฉันต้องร้ายกับเธอนะ" มือหนาบีบปลายคางเล็กอย่างแรงจนคนถูกกระทำนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
"อ้าปาก" ในเมื่อในกินดีๆ ไม่ชอบ คงต้องเจอวิธีบังคับจากเขา
"ถ้าอยากให้พ่อเธอตายก็ไม่ต้องกินก็ได้นะ" คำข่มขู่ของเขาทำให้คนพยศเริ่มสงบลง
"ฉันกินเองได้ค่ะ" เมื่อคามินยกเรื่องพ่อมาขู่เธอก็แทบจะพุ่งเข้าใส่ชามข้าวต้มทันที
"อย่าให้ฉันต้องร้ายอันนา แค่เธอเชื่อฟังและทำตามที่ฉันบอก เป็นเด็กดีไม่ดื้อ แล้วพ่อเธอจะปลอดภัย" เขานั่งจ้องมองร่างบางบนเตียงที่กำลังทานข้าวเงียบๆ จนเกือบหมด ก่อนจะยื่นยาให้เธอทันที ไม่รู้ว่าตอนที่เขาไม่อยู่ยาพวกนี้เธอจะกินมันบ้างไหมหรือแอบเอาไปทิ้งก็ไม่รู้
หลังจากที่อันนาทานข้าวจนอิ่มร่างสูงของคามินก็เดินออกจากห้องไปไม่บอกไม่กล่าว ก่อนจะมีแม่บ้านเข้ามาเก็บชามข้าวต้มที่เธอกินจนเกือบหมดออกไป อันนาล้มตัวลงนอนอีกครั้งเมื่อรู้ถึงความง่วงเพราะฤทธิ์ยา แต่ก่อนจะได้เคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องอีกรอบ เธอจึงรีบแกล้งหลับเพื่อตัดปัญหา เพราะคิดว่าคนที่เข้ามาคงจะเป็นคามินแน่ๆ
ฟุบ!
แรงยุบตัวเกิดขึ้นบนที่ว่างข้างๆ ก่อนที่ร่างกายของเธอจะถูกดึงรั้งเข้าไปประชิดอกแกร่ง ร่างสูงที่ขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกับคนป่วยก็ตวัดแขนดึงรั้งเอวคอดเข้ามาประชิดตัวทันที ทำเอาคนที่แกล้งหลับถึงกับใจเต้นแรงกับการกระทำของเขา
"ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับ" เสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน
"คุณก็ลงไปสิฉันจะได้นอน"
"นี่ห้องฉัน"
"แต่คุณรังเกียจฉันหนิ แล้วจะมานอนกับฉันอีกทำไม"
"ฉันเคยพูดเหรอว่ารังเกียจเธอ"
นั่นสินะ เขาไม่เคยพูดว่ารังเกียจเธอแต่การกระทำของเขามันฟ้องชัดว่ารังเกียจเธอ แล้วเขาจะมาทำให้เธอใจเต้นแรงกับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาทำไมกัน หรือเพราะแค่สงสารที่เห็นเธอตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้
"นอน ฉันง่วงแล้ว" คามินเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหลับตาลง
"ง่วงคุณก็นอนของคุณไปสิ" ถ้าเขาไม่เอาเรื่องพ่อมาขู่เธอ เธอคงไม่ยอมอ่อนให้เขาแบบนี้หรอก เพราะกลัวว่าพ่อเธอจะได้รับอันตรายถึงได้ยอมทำตามที่เขาสั่ง
"หรืออยากออกกำลังกายก่อนนอน" ไม่ว่าเปล่ามือหนาลูบไล้หน้าท้องแบนราบเบาๆ ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาที่ต้นขาและมาหยุดอยู่ที่ใจกลางสาวของเธอ
"ยะ...หยุดนะ! โอเคๆ ฉันนอนแล้ว" อันนารีบจับมือหนาไว้ทันทีก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้
"เชื่อฟังตั้งแต่แรกก็จบ"
เวลาต่อมา…
หลังจากที่เผลองีบหลับไปเกือบชั่วโมง ร่างสูงของคามินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็ได้รับรายงานจากแม่บ้านทันทีว่านานากับฟีนิกซ์มาหารออยู่ที่ห้องรับแขก ไม่รอช้าเขารีบตรงไปที่ห้องรับแขกทันที
"มินมินค้าบ~"
เสียงเล็กๆ ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้นทันทีเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องรับแขก
"ไงตัวแสบ คิดถึงกันบ้างไหม" คามินย่อตัวรับฟีนิกซ์เข้าสู่อ้อมกอดด้วยความคิดถึง จมูกโด่งเป็นสันกดลงกับแก้มนุ่มของเด็กน้อยที่เขาเล่นเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เกิด
"ติดตึงมิน~" ท่าทางออดอ้อนของฟีนิกซ์เรียกรอยยิ้มจากคามินได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ฟีนิกซ์จะจุ๊บเบาๆ ที่แก้มสากของเขาหลังพูดจบ
"คุณสบายดีไหมคะ" วันนี้นานาพาฟีนิกซ์กลับมาเยี่ยมคามินหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน โดยที่เธอก็ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า มาแบบเสี่ยงดวงว่าจะเจอเขาไหม
"ก็สบายดี แล้วเธอละเป็นไงบ้าง ยังถูกไอ้ฟรานซิสนอกกายอยู่ไหม"
"ไม่มีแล้วค่ะ แต่ถ้ามีอีกคงไม่มีโอกาสได้เจอฉันกับลูกอีกแน่ๆ" นานาตอบด้วยความขบขัน วันนี้ฟรานซิสติดงานเลยไม่ได้มาด้วยกัน
"ดี้จายดีค้าบ"
"หึๆ กลับไปอยู่กับพ่อไม่เท่าไหร่ก็เข้าข้างกันแล้วนะ แล้วมินไม่ใจดีแล้วเหรอ" คามินแกล้งตีหน้าเศร้า
"โอ๋~ มินมินจายดี" ทั้งคำพูดคำจาและท่าทางออดอ้อนของฟีนิกซ์เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี
"ช่างพูดนักนะเรา"
"นี่คุณป๋าสอนอะไรลูกหนูเนี่ย"
ทั้งสามคนพูดคุยหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน คามินกลายเป็นบุคคลที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าฟีนิกซ์
อันนาที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ไม่พบกับปีศาจร้ายที่นอนร่วมเตียงกับเธอแล้ว เมื่อรู้สึกว่าอาการป่วยของเธอจะดีขึ้น ก็รีบลุกเดินเข้าไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นทีนที ก่อนจะเดินลงมาข้างล่างเพื่อมาช่วยแม่บ้านทำงาน แต่ก็ยังไม่ทันได้เดินไปถึงห้องครัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยหยอกล้อกันดังมาจากห้องรับแขก ทำให้สองขาหยุดชะงักก่อนจะเดินเข้าไปแอบดูอย่างเสียมารยาท
มือเล็กยกขึ้นปิดปากด้วยความตกใจกับภาพที่ได้เห็น เมื่อคามินกำลังนั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้น ข้างกายเขานั้นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กน่ารักนั่งอยู่ด้วย ถัดไปบนโซฟาก็มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนั่งยิ้มมองทั้งคู่อยู่อย่างมีความสุข นี่เขา… มีครอบครัวแล้วงั้นเหรอ แล้วแบบนี้ถ้าภรรยาเขารู้เข้าว่าเขาแอบนอกกายภรรยาตัวเองจะทำยังไง แล้วถ้าภรรยาเขาเจอเธออยู่ในบ้านแบบนี้จะทำยังไงดี
อันนารีบก้าวถอยหลังออกห่างจากห้องรับแขกด้วยความรู้สึกที่สับสนตีกันให้วุ่น ทั้งรู้สึกผิด เสียใจ และเจ็บปวด ทุกอย่างเหมือนมาพร้อมๆ กันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แค่คิดว่านั่นคือภรรยาและลูกเขาจริงๆ ใจเธอก็เต้นแรงแปลกๆ รู้สึกเจ็บจี้ดอย่างบอกไม่ถูก เธอคงไม่ได้เผลอใจให้คนที่ทำร้ายเธอหรอกนะ และที่สำคัญ… เขามีครอบครัวแล้ว เขาดูอ่อนโยนและอบอุ่นมาก ต่างจากที่อยู่กับเธอราวฟ้ากับเหว
…