บทที่ 20 เล่นละครเก่ง
เย่จายซิงประหลาดใจมาก
นางคิดว่าแหวนโบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของนางจะมีแค่วงเดียวเท่านั้น แต่ใครเลยจะรู้ว่าอีกวงหนึ่งอยู่ที่จวินหยวน
และเหมือนกันไม่มีผิด
จวินหยวนน้ำแหวนใส่ไปที่นิ้วก้อยของตัวเอง แหวนขยายขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อใส่เข้าไปแล้วจึงมีขนาดพอดี
คุณสมบัตินี้เหมือนกับแหวนที่นางมีอยู่ไม่ผิดเพี้ยน มันสามารถขยายขนาดใหญ่เล็กได้ นางจึงสามารถใส่ไว้ที่นิ้วใดก็ได้
จากนั้นจวินหยวนจึงจับมือของนางเอาไว้
“อย่าขยับ”
เขากล่าวเสียงต่ำพลางจับนิ้วของนางไว้แน่นและเอามือประสานเข้ากับนิ้วของนาง
ความรู้สึกร้อนผ่าวที่นิ้วกลับมาอีกครั้ง เย่จายซิงนึกถึงตอนที่จวินหยวนปรากฏตัวเมื่อหลายสองวันก่อน แหวนของนางก็ร้อนขึ้นมาเช่นนี้เหมือนกัน
นางอ้าปากค้าง แล้วมองไปทางจวินหยวน “ที่แท้วันนั้นที่แหวนของข้าร้อนจี๋ขึ้นมาเป็นเพราะการปรากฏตัวของท่าน ดังนั้น ท่านเองก็เลยคิดว่าข้าคือคนที่ท่านตามหาเพราะแหวนวงนี้เช่นกันหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นเขาพยักหน้า นางก็กล่าวอย่างประหลาดใจ “ท่านได้แหวนวงนี้มาได้อย่างไร”
“เมื่อเจ็ดปีก่อน ในแดนปริศนาที่เต็มไปด้วยอันตราย แหวนวงนี้ยอมรับข้าเป็นเจ้าของด้วยตัวมันเอง หลังจากนั้นทุกคืน ในหัวของข้าจะปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่ออก ทำให้ข้าทรมานมากจนกินข้าวกินน้ำไม่ได้ คนคนนั้นก็คือเจ้า”
จวินหยวนมองนางอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีดำคู่นั้นราวกับดวงดาราหนาวเหน็บยามราตรี ล้ำลึกเสียจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
แต่เย่จายซิงรู้สึกว่าเขาโกหก หรือมีบางอย่างปิดบังนางอยู่
“เจ้ากับข้าคือคนที่โชคชะตากำหนดให้มีความข้องเกี่ยวกัน ข้าตามหาเจ้าเจอแล้ว ข้าจะไม่มีวันปล่อยมือ น้องซิงอย่าได้คิดหนีข้าไปอีก เพราะเจ้าจะไม่มีโอกาสนั้น เมื่อเจ้าเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ข้าจะไปสู่ขอเจ้า”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เมื่อพูดคำพูดเผด็จการเช่นนี้ออกมา ทำให้สตรียากที่จะตอบปฏิเสธ
แต่เย่จายซิงกลับรู้สึกได้ถึงความอันตรายของผู้ชายคนนี้ นางรู้สึกว่าเขาจะต้องมีวัตถุประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
แต่เขาพูดถูก เพราะจากความแข็งแกร่งของเขา ต่อให้นางคิดหนี โอกาสที่นางจะหนีพ้นมีเพียงศูนย์เท่านั้น
ที่นี่ไม่ใช่โลกที่นางคุ้นเคย แต่เป็นโลกแห่งการฝึกตนที่เต็มไปด้วยพลังทิพย์
ส่วนนางในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ
ดูท่าตอนนี้คงได้แต่เดินไปคิดไปเท่านั้น อย่างแรกคือต้องทำให้เขาเชื่อนางก่อน นางถึงจะพอหาช่องทางไปวางแผนต่อได้
สตรีบนแผ่นดินเทียนเหย้าจะเข้าพิธีปักปิ่นเมื่ออายุสิบหกปี หรือกล่าวได้ว่าตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปี ก่อนที่จวินหยวนจะมาสู่ขอนาง
“เสด็จอา ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีคนที่ท่านเห็นในความฝันอาจจะไม่ใช่ข้าก็ได้”
นางลองหยั่งเชิงถาม
จวินหยวนเอามือเชยคางนางขึ้นมาแล้วเข้าไปใกล้ ลมหายใจอันร้อนแรงกระจายลดใบหน้าของนาง ในตอนที่นางรู้สึกว่าเขากำลังจะจูบนางนั้น เขาก็กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจำไม่ได้แม้กระทั่งผู้หญิงของตัวเองเชียวหรือ”
มั่นใจจริงๆ หากท่านจำคนผิดขึ้นมาเล่า ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรต่อไป?
เย่จายซิงไร้คำพูด แต่นางรู้ว่าต่อให้พูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ เขาปักใจแล้ว เกรงว่าคงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้……
ดวงตาสีดำของนางเคลื่อนไหวอย่างมีแผนการ
ตนเกิดมาอัปลักษณ์ นางสามารถใช้จุดนี้เป็นข้อดีได้ ทำให้เขารังเกียจตน ผ่านไปครึ่งปีเขาคงไม่อยากแต่งงานกับนางอีกแล้ว
นางเอามือทั้งสองข้างของนางจับมือของเขาที่เชยคางนางเอาไว้และมองเขาอย่างลึกซึ้ง “เสด็จอา ท่านพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ ซิงเอ๋อร์ย่อมอยากแต่งงานกับท่าน แต่วันข้างหน้าท่านจะไม่ทิ้งซิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่”
นางตั้งใจเอาใบหน้าด้านที่มีปานแดงเข้าไปใกล้เขา เพื่อให้เขารังเกียจนาง
จวินหยวนยิ้มและจูบลงที่ปานแดงของนางก่อนจะเอ่ยว่า “น้องซิงอยากให้ข้าทำแบบนี้ใช่หรือไม่”
เย่จายซิง : ……ท่านจูบลงไปได้อย่างไร?! อีกอย่าง ข้าไม่ได้ขอให้ท่านจูบสักหน่อย
“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย”
เขามองนางอย่างลึกซึ้ง แล้วกล่าวสัญญาออกมาอย่างจริงใจ
แต่เย่จายซิงกลับไม่เชื่อ แต่นางกลับไม่ได้แสดงออกมา เพียงทำท่าราวกับหญิงสาวที่เขินอายเมื่อถูกบอกรัก
แม้แต่นางยังนับถือตัวเองที่มีความสามารถในการแสดงเช่นนี้
คนเราย่อมต้องฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่อยากทำบ้าง
นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะส่งท่านอ๋องหน้าเดียวกลับไปได้ หลังจากนั้นเย่จายซิงดื่มน้ำเข้าไปสามแก้วใหญ่ ตอนนั้นเองเจ้าแดงจึงเดินเข้ามาแล้วมองมาที่นาง
“พระชายา ท่านอ๋องถึงอยู่ที่นี่นานเสียขนาดนี้ เหตุใดพระชายาถึงไม่ให้บ่าวเข้ามาคอยรับใช้ล่ะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านอ๋องจะไม่สบายใจเอาได้นะเจ้าคะ”
“ทำไมเขาจะต้องไม่พอใจด้วยล่ะ”
เย่จายซิงหรี่ตาและมองสาวใช้ที่แต่งตัวมาราวกับสุนัขจิ้งจอกอย่างสนใจ
“ท่านอ๋องมีฐานะสูงศักดิ์ ควรมีคนรับใช้อยู่ตลอดเวลา พระชายาทำแบบนี้ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะเพคะ บ่าวก็แค่กลัวว่าท่านอ๋องจะไม่พอใจ บ่าวเห็นตอนที่ท่านอ๋องเดินออกไปดูจะไม่ค่อยชอบใจนักนะเจ้าคะ”
เจ้าแดงพูดราวกับตนเองคิดแทนเย่จายซิง
เย่จายซิงแอบยิ้มเย้ยในใจ อย่างจวินหยวนน่ะหรือเรียกว่าไม่พอใจ เขาใส่หน้ากากแบบนั้นและไม่เคยรักใครทั้งนั้น อ้อไม่ถูก เดิมทีเขาก็เป็นคนไม่ชอบยิ้มอยู่แล้ว แถมยังมีรัศมีแห่งความไม่เย็นชาแผ่ออกมาอีก หากเจ้าเคยเห็นเขาอารมณ์ดี วันนั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่
นางรู้ดีว่าเจ้าแดงมีแผนการอย่างไร คงจะหาโอกาสเสนอหน้าตอนที่จวินหยวนมามากกว่า
“ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าคิด เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากท่านอ๋องมาอีก ข้าจะให้เจ้าเข้ามาดูแล”
นางกล่าว
เจ้าแดงดีใจมาก นางตอบตกลงพลางคิดในใจว่าเย่จายซิงเป็นคนซื่อบื้ออย่างแท้จริง ไม่ว่าใครพูดอะไรนางก็เชื่อไปหมด คนแบบนี้ง่ายต่อการควบคุมที่สุด
วันต่อมาจวินหยวนมาที่นี่อีกครั้ง เขาเอาใบชามาด้วย เย่จายซิงจึงใช้โอกาสนี้ให้เจ้าแดงเข้ามาชงชาให้
จวินหยวนไม่ชอบการมีคนคอยดูแล แต่ไม่อยากทำให้นางเสียหน้า จึงไม่ได้ไล่เจ้าแดงออกไป
เจ้าแดงแต่งตัวสีสันสดใส แถมยังทาเครื่องหอมมาด้วย กลิ่นหอมของนางเตะจมูก นางชงชาด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง
เย่จายซิงไม่ชอบกลิ่นนี้และอยากหาโอกาสให้เจ้าแดงสักหน่อย นางจึงเอามือกุมท้องแล้วกล่าวว่า “ข้าขอตัวไปทำธุระส่วนตัวสักหน่อย เสด็จอาดื่มน้ำชาไปพลางก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
นางพูดจบก็เดินออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้จวินหยวนกับเจ้าแดงอยู่ในห้องเดียวกัน
เจ้าแดงไม่คาดคิดว่าเย่จายซิงจะโง่เขลาขนาดนี้ ถึงขั้นทิ้งโอกาสดีๆ เช่นนี้ให้ตน นางจึงสอดส่ายสายตาไปมา เมื่อชงชาเรียบร้อยแล้วจึงส่งถ้วยชาให้จวินหยวน
“ท่านอ๋อง เชิญดื่มเจ้าค่ะ”
จากนั้นนางแสร้งทำตัวไร้เรี่ยวแรงแล้วเอนตัวเข้าไปพิงจวินหยวน
แม้ว่านางอาจจะไม่ใช่โฉมสะคราญ แต่อย่างไรก็เป็นหญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง หากเทียบกับเย่จายซิงแล้ว นางสวยกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า นางเชื่อว่าอ๋องเซ่อเจิ้งจะต้องไม่ปฏิเสธที่นางจะเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาแน่
ผู้ชายล้วนต้องคว้าโอกาสดีอย่างนี้เอาไว้ไม่ใช่หรือ
“ออกไป”
จวินหยวนกล่าวเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ พลางผลักเจ้าแดงที่กำลังจะเข้ามาซบเขากระเด็น
เจ้าแดงล้มกระแทกพื้นจนปากกระอักเลือด
“เอาออกไปตัดหัว”
สิ้นเสียงของเขา องครักษ์ลับสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเจ้าแดง
เจ้าแดงทำท่าทางน่าสงสารก่อนจะรีบคุกเข่าอ้อนวอน “ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด บ่าวไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว!”
จวินหยวนไม่ละสายตาเพียงกล่าวอีกประโยคหนึ่งว่า “อย่าให้พระชายามีโอกาสเห็นนางอีก”
“ขอรับ!”
“ไม่นะ! ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
สีหน้าของเจ้าแดงซีดขาวอย่างเสียใจ
องครักษ์ลับอุดปากเจ้าแดงเอาไว้ แล้วเอาตัวนางออกจากหอจายซิงอย่างรวดเร็วที่สุด
เมื่อเย่จายซิงกลับมา กลิ่นคาวเลือดในอากาศก็ถูกกำจัดออกไปจนไม่เหลือแล้ว เมื่อนางเห็นว่าเจ้าแดงไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ก็คิดว่าเจ้าแดงคงเข้าตาจวินหยวนและเขาคงจัดสถานที่ที่เหมาะสมกับนางให้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ซักไซร้อะไรมากมาย และได้เรียกสาวใช้ที่ไว้ใจได้คนอื่นเข้ามาชงชาแทน”
จวินหยวนสังเกตท่าทางไม่แยแสของนาง แววตาของเขาก็เกิดความหนาวยะเยือกขึ้น
ในตอนนั้นเอง พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง จวนแม่ทัพส่งคนมารับตัวพระชายากับคุณชายเย่กลับจวน โดยบอกว่าฮูหยินเฒ่าป่วยเป็นโรคร้ายกะทันหัน จึงอยากเห็นหน้าพระชายากับคุณชายเย่ขอรับ”
เย่จายซิงยิ้มออกมา เพราะตามที่นางรู้ ผู้หญิงเจ้าแผนการคนนั้นร่างกายแข็งแรงมาก ที่บอกว่าเป็นโรคร้ายคงเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น
ผ่านมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น พวกเขาก็อดทนไม่ไหวเสียแล้ว