ตอนที่ 2
ป้านิ่มเองก็รู้สึกชอบอัธยาศัยไมตรีของสองสามีภรรยาคู่นี้เหมือนกัน จึงชวนให้เข้าไปนั่งคุยในบ้าน และภายหลังจากคุยกันก็ทำให้สิตากับสมโชครู้ว่าที่แท้ดอกอ้อก็คือเด็กกำพร้าที่เจ้าของบ้านเก็บมาเลี้ยง
“หนูกับสามีก็อยู่กันแค่สองคน เราไม่มีลูก... ถ้าหนูอยากขอดอกอ้อไปอุปการะจะได้ไหมจ๊ะ... หนูจะให้เงินป้าก้อนนึง แล้วสัญญาว่าจะเลี้ยงดูดอกอ้อให้ดี จะส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี”
ข้อเสนอของสิตาทำให้ป้านิ่มนึ่งอึ้ง หันไปมองหน้าลุงเด่นผู้เป็นสามีเป็นเชิงปรึกษา
“ป้ายังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ครับ... เอาไว้ถ้าสนใจข้อเสนอของผมกับภรรยาก็โทรหาผมนะครับ ผมอยากให้คิดให้ดี... เพื่ออนาคตของหลาน”
คำว่า ‘อนาคต’ สะกิดใจของป้านิ่มอย่างแรง ด้วยนางตระหนักดีว่าทุ่งไร่ทุ่งนาของชนบทบ้านนอกแห่งนี้คงไม่สามารถให้อนาคตที่ดีกับดอกอ้อได้
“เงินที่สองผัวเมียนั่นเสนอให้ก็ไม่น้อย... เราจะได้เอาไปไถ่ถอนไร่นาที่จำนองเอาไว้เสียที”
ลุงเด่นว่า
“จะดีหรือพี่... ทำแบบนี้ไม่เท่ากับว่าเราขายหลานกินหรือพี่เด่น”
ป้านิ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย
“อย่าไปคิดอย่างนั้น คิดเสียว่าเรายกหลานให้เขาก็เพราะเราห่วงอนาคตของหลาน... ”
ลุงเด่นสรุปพลางปลอบภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ก่อนตัดสินใจโทรไปบอกให้สองสามีภรรยามารับตัวดอกอ้อไปอยู่กรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น
สามปีต่อมา
สิตากับสมโชคเลี้ยงดูเด็กสาวที่ขอมาเลี้ยงเป็นอย่างดี ดอกอ้อรู้สึกได้ว่าสิตาให้ความรักและเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง มีอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน จึงไว้วางใจให้ดอกอ้อช่วยดูแลร้านอาหารที่ลงทุนเช่าไว้ขายอาหารในศูนย์อาหารของห้างดังหลายแห่ง มีลูกจ้างทำงานหน้าร้านซึ่งเป็นคนพม่าเสียส่วนใหญ่ ขายทั้งข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวและข้าวมันไก่
“น้าสิตาคะ... หนูไม่อยากเรียนต่อค่ะ”
ดอกอ้อร่ำเรียนจนกระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก จู่ๆ หญิงสาวก็ตัดสินใจกะทันหันว่าจะไม่เรียนต่อ
“อ้าว... ทำไมล่ะจ๊ะดอกอ้อ”
สิตาทำหน้าประหลาดใจ ด้วยหล่อนตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้ดอกอ้อเรียนจนจบปริญญาตรี หรือจะสูงกว่านั้นก็สุดแท้แต่สติปัญญาของดอกอ้อจะไปถึง หล่อนพร้อมจะส่งเสียให้ถึงที่สุด
“หนูอยากช่วยงานน้าสิตาให้เต็มที่กว่านี้ค่ะ... ช่วงนี้คุณน้าก็สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง หนูเลยอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์”
หญิงสาวบอกความตั้งใจ สองปีหลังมานี้สิตาป่วยกระเสาะกระแสะมาโดยตลอด หลังจากตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจ ระยะหลังๆ หล่อนเอาแต่นอน เพราะว่าเมื่อไรที่ลุกขึ้นมาหยิบจับโน่นนี่ก็มีอันต้องเหนื่อยหอบทุกที
“การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญนะดอกอ้อ... บอกตรงๆ ว่าใจจริงน้าอยากให้หนูเรียนต่อ เพราะว่าเดือนหน้าคุณโชคสามีน้าก็ได้พักสองสัปดาห์ คงพอมีเวลากลับมาดูแลน้าได้”
สมโชคสามีของสิตาทำงานเป็นวิศวกรบนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล นานๆ ครั้งจะได้กลับเข้าฝั่ง
“คุณสมโชคมาอยู่ได้สองสัปดาห์ก็ต้องกลับไปทำงานอีก ไม่ได้อยูดูแลคุณน้าทุกวันนี่คะ”
สิตามองหน้าเด็กสาวอย่างเข้าใจในความห่วงใยที่รู้สึกได้ จริงอย่างที่ดอกอ้อว่า แม้งานในแท่นขุดเจาะน้ำมันที่สมโชคทำอยู่นั้นจะมีเวลาพักมากกว่างานประเภทอื่นๆ ก็จริง หากเขาก็ต้องอยู่กลางทะเลนานหลายวัน ตามกฏระเบียบของการทำงาน ก็คือสิบห้าวันแรกของเดือนต้องอยู่ในทะเล และอีกสิบห้าวันหลังถือเป็นวันหยุด ได้กลับบ้านมาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว
“แต่หนูอยากดูแลคุณน้าค่ะ... เรื่องเรียนต่อถ้าวันข้างหน้าหนูเปลี่ยนใจจะเรียนมหาวิทยาลัยปิดก็มีนี่คะ เรียนเมื่อเราสะดวกก็ได้ ตอนนี้หนูอยากดูแลคุณน้าเพื่อตอบแทนบุญคุณค่ะ”
ดอกอ้อยืนยันถึงความตั้งใจจริง
“งั้นก็ตามใจหนูเถอะ”
มาถึงตรงนี้สิตาก็ไม่อยากขัด เพราะว่าหล่อนเองก็ป่วยกระเสาะกระแสะมาโดยตลอด เมื่อวานอาการโรคหัวใจเพิ่งกำเริบหนัก เสียดแน่นหน้าอกจนต้องรีบไปโรงพยาบาล
สัปดาห์ต่อมา
สมโชคกลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ ตามตารางการทำงานของบริษัทขุดเจาะน้ำมันที่อนุญาตให้พนักงานประจำแท่นขุดเจาะกลับมาพักกับครอบครัวทุกๆ สิบห้าวันหลังของทุกเดือน
กลางดึกของคืนเดียวกันนั้น ขณะที่กำลังจะหลับ จู่ๆ ก็มีเสียงแว่วมาเข้าหูของดอกอ้อ คล้ายเสียงคนกำลังทุ่มเถียงกันอยู่ไม่ไกล
เมื่อลองนอนนิ่งฟังอย่างจับใจความจึงได้รู้ว่าเสียงนั้นมาจากห้องนอนของสิตากับสมโชคซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้านนั่นเอง
‘เกิดอะไรขึ้น’
ดอกอ้อตั้งคำถามด้วยความสงสัย สามีภรรยาที่นานๆ จะเจอหน้ากันสักครั้งอย่างสิตากับสมโชคควรจะชดเชยเวลาในระหว่างที่ต้องห่างกันด้วยความหวานชื่นมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมีปากเสียงกันให้ได้ยิน
กระทั่งรุ่งเช้า ดอกอ้อจึงได้รู้ความจริงจากปากของสิตาว่าอะไรคือ ‘สาเหตุ’ ภายหลังจากสมโชคขับรถออกไปจากบ้านในตอนสายของวันเดียวกันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากรถของสามีแล่นลับไปจากสายตา สิตาก็ลงมาที่ห้องรับแขก เรียกดอกอ้อให้เข้ามาคุยกัน
“มีเรื่องอะไรหรือคะคุณน้า?”
“เมื่อคืนน้ากับคุณสมโชคทะเลาะกัน”
“หนูรู้ค่ะ”