บทที่ 3
.
..
...
“คนเราเกิดมาก็ต้องตาย จะเร็วหรือช้าก็ต้องตายกันทั้งนั้น ลูกไม่ต้องคิดอะไรมากแค่ตั้งใจเรียนให้จบ และใช้ชีวิตคู่กับพี่ภามให้มีความสุข แค่นี้พ่อก็มีความสุขมากแล้ว”
“ผมจะทำทุกอย่างให้พ่อมีความสุขครับ”
“ดีมากลูกพ่อ”
“เอ่อ...น้องอิงพี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
อิงทัชเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม เขาส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ หันกลับมาบิดาก็พยักหน้าเชิงสั่งว่าให้รีบออกไปคุยกับพี่เขา
“พ่อคุยกับคุณลุงคุณป้าไปก่อนนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงลุงจะดูแลพ่อเราให้เอง ไปคุยกับพี่เขาเถอะ ทำความคุ้นเคยกันไว้อีกหน่อยก็จะได้ร่วมหอลงโรงกันแล้ว”
“ครับคุณลุง”
ภารันย์ลุกขึ้นก่อนแล้วผายมือเชิญให้นำหน้าออกไป ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนอ่อนโยนต่อหน้าผู้ใหญ่ ให้ทุกคนวางใจว่าเขานั้นเต็มใจกับการสมรสครั้งนี้มากแค่ไหน
เดินออกมาถึงหน้าบ้านแล้วอิงทัชก็ยืนประสานมือไว้แน่น รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เพราะอีกไม่นานอีกฝ่ายก็จะมีสถานะเป็นสามีเขาแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบรับมือไม่ไหว แต่ก็ต้องทำใจเพื่อให้บิดามีความสุขก่อนจะต้องจากโลกนี้ไป
“พี่ภามมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“รู้แล้วใช่ไหมว่าเราจะต้องแต่งงานกัน” ภารันย์เดินมายืนข้างกัน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบาย ๆ
อิงทัชเอียงหน้าไปมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าอันแสนเย็นชาก็หันกลับมาที่เดิม
“เพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เองครับ”
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าพี่มีแฟนแล้ว และพี่ก็รักแฟนมาก” เขาเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด ต่างจากเมื่อครู่ที่เห็นในบ้าน จนนึกแปลกใจว่าแท้ที่จริงแล้วนิสัยของผู้ชายคนนี้เป็นยังไงกันแน่
“ครับผมรู้ ผมเคยเห็นพี่สองคนที่มหา’ลัยบ่อย ๆ”
“ที่เห็นเมื่อครู่พี่แค่อยากให้คุณลุงสบายใจเท่านั้นเอง พี่เรียนหมอรู้ดีว่ากำลังใจสำคัญกับคนป่วยมากแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องของเราแล้วพี่ว่า...” เขาถอนหายใจแล้วหันหน้ามามอง
อิงทัชรู้ว่าอีกฝ่ายอึดอัดใจไม่ต่างจากเขาเช่นกัน แค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองทำให้ภารันย์ต้องเดือดร้อนมากพอแล้ว จึงอยากจะให้การแต่งงานครั้งนี้มันเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“ผมเข้าใจครับ พี่ภามไม่ต้องเป็นห่วงนะ การแต่งงานของเราจะมีคนรู้แค่ไม่กี่คน ผมจะขอร้องให้คุณลุงคุณป้าทำพิธีอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย และมันจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น แฟนพี่จะได้ไม่ต้องรู้เรื่องนี้ โอเคไหมครับ”
“ก็โอเคนะ พี่จะได้ไม่ต้องลำบากใจไปมากกว่านี้”
“ถ้าพี่ภามลำบากใจขนาดนั้น ก็บอกคุณลุงคุณป้าไปตรง ๆ สิครับว่าไม่อยากแต่ง ส่วนเรื่องพ่อพี่ก็ไม่จำเป็นจะต้องมารักษาน้ำใจอะไรมากมาย พ่อผม ผมดูแลเองได้” อิงทัชเริ่มมีน้ำโหเมื่อเห็นท่าทีเย็นชาบวกกับคำพูดที่ไม่รักษาน้ำใจ หากรังเกียจเขาขนาดนี้จะยอมแต่งไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้
“ก็พี่เป็นคนมีเหตุผลพอยังไงล่ะ พ่อกับแม่ต้องการพี่ก็สนองในฐานะลูกที่ดี ส่วนเรื่องคุณลุงก็เป็นอย่างที่พูดอยากให้ท่านไปสบาย” คนพูดไม่มองแม้กระทั่งหน้า อิงทัชถอนหายใจราวกับรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องมายืนคุยกับคนอย่างนี้
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปบอกทุกคนเอง ว่างานแต่งจะไม่มีทางเกิดขึ้น” เขาโกรธจนแทบไม่อยากจะยืนอยู่ข้างกัน กำลังจะเดินกลับแต่ถูกรั้งมือไว้เสียก่อน
“อยากให้พ่อนายตายตอนนี้เลยหรือไง คิดได้แค่นี้เองเหรอ แต่งงานให้ท่านสบายใจแล้วค่อยว่ากันดีกว่า ทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ไปได้” ภารันย์หันมามองด้วยแววตาดุดัน แม้ว่าความหล่อจะช่วยให้ความน่ากลัวลดลงได้บ้าง แต่อิงทัชก็ไม่อยากจะมองให้อารมณ์เสีย หันหน้าหนีไปอีกทางพลางถอนหายใจเบา ๆ
“ก็ผมไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบากใจนี่ ทำไมพี่จะต้องเล่นละครทำเป็นเห็นใจพวกเราทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมรู้สึกสมเพชตัวเองรู้ไหม” เขาตวาดใส่หน้าเสียงดัง น้ำตาเริ่มไหลนองลงมาเป็นสาย
หมับ!
จู่ ๆ ร่างสูงก็คว้าตัวเขาเข้ามาสวมกอดไว้แน่น อิงทัชตัวแข็งทื่อภายใต้วงแขนแกร่ง เกิดมาไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนกอดมาก่อน นี่คือกอดแรกที่รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน แต่มันจะรู้สึกดีกว่านี้หากอีกฝ่ายเต็มใจที่จะกอด
“อุ๊ย! แม่มาขัดจังหวะเราหรือเปล่าเนี่ย” รินอรยิ้มกริ่มอย่างพอใจเมื่อเดินออกมาเจอคนทั้งสองกำลังโอบกอดกัน
อิงทัชรีบผลักแผงอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว ทว่าอ้อมกอดนั้นแน่นเกินกว่าจะต้านทานไหว มือน้อย ๆ จึงพยายามทุบแผงอกแกร่งระรัวเพื่อประท้วงให้ปล่อยตัว
“เอ่อ...ครับคุณแม่”
“งั้นแม่เข้าไปข้างในก่อนละกัน คุยเสร็จแล้วค่อยตามเข้าไปนะ” สาวใหญ่ยังคงยิ้มไม่ยอมหุบ
“ครับคุณแม่”
หลังจากรินอรกลับเข้าไปข้างในแล้ว ภารันย์จึงคลายอ้อมกอดให้เป็นอิสระ สีหน้าเขายังคงเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าอิงทัชกลับหน้าแดงก่ำด้วยความอาย
เพี๊ยะ!
“ทำอย่างนี้ทำไม ใครอนุญาตให้พี่กอดผม” เขาต่อว่ายกใหญ่
“ก็ตอนนั้นอิงกำลังโมโหพี่อยู่ไง ถ้าคุณแม่เข้ามาเจอภาพนั้นท่านคงจะไม่สบายใจ”
“ทำตัวเป็นพระเอกห่วงคนอื่นไปทั่ว พี่รู้สึกอย่างนี้จริง ๆ หรือสร้างภาพให้คนอื่นมองว่าพี่เป็นคนดี เรียนหมอไม่จำเป็นจะต้องสร้างภาพขนาดนี้ก็ได้มั้ง”
“พี่จะคิดหรือจะทำอะไรมันก็เรื่องของพี่ นายนั่นล่ะที่ต้องเจียมตัว จำเอาไว้ว่าอย่าทำให้พี่กับแฟนต้องมีปัญหากัน ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน” กล่าวจบเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้อิงทัชยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่คนเดียว
แค่เริ่มต้นมันก็ดูเหมือนจะแย่แล้ว อย่างนี้เขาจะมีความสุขอย่างพี่บิดาคาดหวังไว้ได้อย่างไรกัน แต่เพื่อต่อลมหายใจให้คนที่รักสุดหัวใจ เขาจะยอมอดทนกับเรื่องบ้า ๆ นี้ให้ได้