บทที่ 10 ศัตรูเผชิญหน้ากันอีกครั้งโดยไม่อาจเลี่ยงได้
ฉู่หวูโยวผงะไป แววตาดูงุนงงเล็กน้อย ฮูหยินไป๋มาเพื่อไป๋ยี่หยูหรือนี่
ตระกูลไป๋เป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ ในเมืองหลวง นับว่าฮูหยินไป๋มีฐานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง แต่เพื่อไป๋ยี่หยู ฮูหยินไป๋กลับมาคุกเข่าต่อหน้ารถม้าของนางและอ้อนวอนโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
ฉู่หวูโยวเป็นเด็กำพร้าคนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรักเช่นนี้ของแม่มาก่อน
ฉู่หวูโยวเปิดผ้าม่านขึ้น
“คุณหนูฉู่ ขอร้องเจ้า ได้โปรดละเว้นน้องหยูสักครั้งเถิด” เมื่อฮูหยินไป๋เห็นนาง แววตาที่แต่เดิมดูสิ้นหวัง กลับกลายดูมีความหวังขึ้นมาไม่น้อย
ฮูหยินไป๋รู้ดีว่า เมื่อวานลูกเฉินไปที่จวนเจ้าพระยาแต่กลับไม่ได้ยาถอนพิษกลับมา แม้กระทั่งลูกเฉินยังไม่อาจเอายาถอนพิษกลับมาได้ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีแล้ว ?
เพียงแต่ เมื่อเห็นน้องหยูต้องร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน นางก็แทบใจสลาย ทำให้นางจำต้องมาขอร้องฉู่หวูโยวอย่างไม่มีทางเลือก
ถึงแม้ฉู่หวูโยวจะซาบซึ้งในความรักที่ฮูหยินไป๋มีต่อบุตรสาว แต่นางตัดสินใจแล้วว่าจะยกเลิกการแต่งงานกับไป๋อี้เฉิน และไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลไป๋อีก ดังนั้นฉู่หวูโยวจึงไม่ได้ลงจากรถม้า
ฉู่หวูโยวพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม : “ยานั่นอีกไม่กี่วันก็หมดฤทธิ์แล้ว ถึงตอนนั้นไป๋ยี่หยูก็จะกลับมามีสภาพเช่นเดิม เชิญฮูหยินไป๋ลุกขึ้นเถิด”
ฮูหยินไป๋ผงะไปเล็กน้อย ราวกับยังรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ เพียงแต่ เมื่อเห็นฉู่หวูโยวที่ทั้งอ่อนโยนและดูว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ จึงรู้สึกเชื่อใจ
“ขอบคุณคุณหนูฉู่” ฮูหยินไป๋เอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ และแอบรู้สึกโล่งใจลงไม่น้อย เดิมทีฉู่หวูโยวแค่คิดจะทำให้น้องหยูตกใจเท่านั้น ก่อนหน้านี้ น้องหยูเองก็มักจะกลั่นแกล้งฉู่หวูโยวอยู่บ่อย ๆ ฉู่หวูโยวทำเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าเกินกว่าเหตุ
“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ” ฉู่หวูโยวยิ้มเล็กน้อย นางดูออกว่าฮูหยินไป๋เป็นแม่ที่ดีคนหนึ่ง นางรู้สึกอิจฉาไป๋ยี่หยูจริง ๆ ที่มีแม่ที่ดีเช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทางของฉู่หวูโยวในตอนนี้ ฮูหยินไป๋ก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงในใจ คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อฉู่หวูโยวหายจากอาการปัญญาอ่อนแล้ว จะกลายเป็นเด็กที่ดูว่านอนสอนง่ายเช่นนี้
ทั้งคำพูดและการกระทำของฉู่หวูโยวในตอนนี้ทั้งฉะฉานและดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้จะยังดูอัปลักษณ์อยู่เหมือนเดิม แต่เช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว การแต่งงานระหว่างฉู่หวูโยวและลูกเฉิน เป็นงานแต่งพระราชทานจากฝ่าบาท ช้าเร็วก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี
ไม่สู้เลือกวันมงคล ให้พวกเขาแต่งงานกันให้เสร็จสิ้นจะดีกว่า ไป๋ฉูหยินแอบคิดในใจ
หลังจากฮูหยินไป๋กลับถึงจวนไป๋แล้ว ก็หารือกับนายท่านไป๋ จากนั้นจึงเรียกไป๋อี้เฉินมา
ทันทีที่ไป๋อี้เฉินเข้ามา ฮูหยินไป๋ก็กล่าวตักเตือนทันที : “ลูกเฉิน เรื่องการแต่งงานระหว่างเจ้ากับคุณหนูฉู่ แม่กับท่านพ่อขอเจ้าหารือกันแล้ว ต้องการเลือกวันมงคลให้กับพวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้แต่งงานกัน ตอนนี้คุณหนูฉู่หายจากอาการป่วยแล้ว อีกทั้งยังว่านอนสอนง่ายและรู้ความอีกด้วย”
ฮูหยินไป๋รู้ดีว่า แต่ไหนแต่ไรมา บุตรชายไม่เคยชอบพอฉู่หวูโยว แต่นี่เป็นงานแต่งพระราชทานจากฝ่าบาท ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
และนางเองก็รู้เรื่องที่หลายวันก่อนไป๋อี้เฉินเขียนหนังสือยกเลิกงานแต่ง หากไทเฮาทรงสืบสาวราวเรื่องเข้าละก็ เกรงว่าพวกเขาทั้งตระกูลคงไม่รอดชีวิตอย่างแน่นอน
โชคดีที่ในตอนนั้นฉู่หวูโยวหมดสิตไป จึงไม่ได้นำหนังสือยกเลิกงานแต่งไปด้วย
ตอนนี้ฉู่หวูโยวไม่ใช่คนปัญญาอ่อนอีกแล้ว ถึงแม้รูปร่างหน้าตายังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่ก็นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก
เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องฝืนใจทำแล้ว
“ขอรับ” แววตาของไป๋อี้เฉินเป็นประกายเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบรับเบา ๆ
ฮูหยินไป๋ผงะไป นางรู้ดีว่าบุตรชายไม่ชอบฉู่หวูโยว นางจึงได้เตรียมคำพูดมากมายเพื่อมาเกลี้ยกล่อมบุตรชาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่นางเอ่ยปาก บุตรชายก็ตอบตกลงเสียแล้ว
คงเป็นเพราะบุตรชายคิดได้แล้ว ใบหน้าของฮูหยินไป๋จึงแสดงความปลื้มใจออกมาไม่น้อย
“เช่นนั้นให้รอให้งานฉลองวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของเจ้าพระยาผ่านพ้นไปแล้ว ข้ากับท่านแม่ของเจ้าจะไปที่จวนเจ้าพระยาเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้าพระยา” นายท่านไป๋เองก็แสดงทีท่าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็นับว่าโล่งไปลงไปมากเช่นกัน
ห้าวันผ่านไป พระยาฉู่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ทุกคนในจวนเจ้าพระยาต่างคอยยืนต้อนรับอยู่ที่ประตู ฮูหยินใหญ่แต่งกายอย่างหรูหราและแต่งหน้าอย่างครบเครื่อง สีหน้าเต็มไปด้วยการตั้งตารอ
ถึงแม้ฉู่หยุนเทียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าจะมีอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่กลับยังดูสง่าผ่าเผยสมเป็นวีรบุรุษและน่าเกรงขาม
เขากวาดสายตามองทุกคนเล็กน้อย แววตานั้นราวกับสายฟ้าฟาด เฉียบคมมีพลัง ไม่ดุดันแต่ดูน่าเกรงขาม
ตอนที่สายตาของฉู่หยุนเทียนมองไปทางฉู่หวูโยว แววตานั้นก็อ่อนโยนลง
ฉู่หยุนเทียนยกตัวขึ้น แล้วกระโดดลงจากหลังม้า ก้าวอย่างรวดเร็วเพียงมี่ก้าว ก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉู่หวูโยวแล้ว
“ข้าน้อยคารวะเจ้าพระยา” ขณะที่ฉู่หยุนเทียนเดินผ่านฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่ก็คารวะอย่างอ่อนโยน
เพียงแต่ ฉู่หยุนเทียนกลับไม่ชะงักฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย
“หวูโยวของพ่อ......” ที่ฉู่หยุนเทียนรีบกลับมาเช่นนี้ ก็เป็นเพราะได้ข่าวว่าโรคของฉู่หวูโยวหายดีแล้ว
ไม่ใครรู้ว่า ตอนนั้นในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นขนาดไหน และไม่มีใครรู่ว่าตลอดทารเดินทางนี้ เขารู้สึกกระวนกระวายใจแค่ไหน
เขากลัวว่าจะเข้าใจผิด เขากลัวว่าข่าวนั้นจะเป็นเท็จ
ตอนนี้ เมื่อเขาได้พบกับแววตาที่ใสซื่อของบุตรสาว ในที่สุดเขาก็วางใจได้เสียที หวูโยวของเขา หายดีแล้วจริง ๆ
ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมากจริง ๆ ดังนั้นจรึงไม่มีเวลาสนใจพิธีการต่าง ๆ
“ในที่สุดท่านพ่อก็กลับมาแล้ว” ฉู่หวูโยวมองออกว่าฉู่หยุนเทียนกำลังตื่นเต้น เขาคงเอ็นดูร่างเดิมมากจริง ๆ
“หวูโยวหายดีแล้วจริง ๆ” ร่างกายของฉู่หยุนเทียนแข็งทื่อ ถึงแม้จะดูออกนานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงของบุตรสาว ฉู่หยุนเทียนก็รู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ
“หวูโยวหายดีแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ ต่อไปไม่ต้องให้ท่านพ่อคอยเป็นห่วงแล้ว” ฉู่หวูโยวรู้ดีว่าฉู่หยุนเทียนรักและเอ็นดูร่างเดิมมาก ตอนนี้นางใช้ร่างของร่างเดิม ในการได้รับความรักนี้ เรื่องบางเรื่องจึงต้องทำแทนร่างเดิมให้ดี
“ดี ๆ ๆ ดีจริง ๆ” ฉู่หยุนเทียนพูดคำว่าดีติดต่อกันหลายครั้ง สี่หน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น : “ต้องเป็นวิญญาณของหลิงเอ๋อร์ที่อยู่บนสวรรค์อย่างแน่นอน ที่ทำให้ลูกสาวของเราหายเป็นปกติได้”
เมื่อเห็นความตื่นเต้นของเขา ฉู่หวูโยวก็รู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ
แววตาของฮูหยินใหญ่กลับเต็มไปด้วยความเคื่องแค้น พระยากลับมาแล้ว แต่กลับไม่หันมองนางสักนิด แม้กระทั่งนางทำความเคารพก็ไม่สนใจ นี่ไม่เท่ากับทำให้นางต้องอับอายขายหน้าหรอกหรือ ?
ในใจของพระยา มีเพียงผู้หญิงที่ตายไปแล้วคนนั้น และมีเพียงเด็กปัญญาอ่อนคนนี้เท่านั้น
ฉู่หรูเสว่กำมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อจนแน่น เมื่อก่อนตอนที่ฉู่หวูโยวยังปัญญาอ่อนอยู่นั้น ท่านพ่อก็รักและเอ็นดูเพียงแต่ยัยบ๊องคนนั้น ตอนนี้ฉู่หวูโยวหายดีแล้ว ท่านพ่อคงยิ่งลำเอียงไปกันใหญ่
ท่านพ่อกลับมาแล้ว แต่ในสายตามีเพียงแค่ยัยบ๊องคนนั้น ไม่แม้แต่จะชายตามองนางเลยสักนิด
ไม่ได้ นางไม่ยอม ยัยบ๊องนั่นมีสิทธิ์อะไรที่จะได้สิ่งที่ดีไปเสียทุกอย่าง มีสิทธิ์อะไร ?
นางไม่มีทางยอมให้ยัยบ๊องคนนั้น แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนางอย่างแน่นอน ไม่มีทาง !
หลังจากฉู่หยุนเทียนกลับมาแล้ว นอกจากเข้าเฝ้า และเข้าวังแล้ว ทันทีที่มีเวลาก็จะเรียกหาฉู่หวูโยว
เมื่อเขาเห็นว่าบุตรสาวหายจากอาการป่วยแล้ว เขาก็อยากสอนอะไรบางอย่างให้กับบุตรสาว เขาไม่ต้องการบังคับให้บุตรสาวร่ำเลียนศิลปะสี่แขนงของเหล่าปัญญาชน เขาเพียงต้องการสอนให้บุตรสาวรู้จักปกป้องตนเองเท่านั้น
หลังจากใกล้ชิดกันหลายวัน เขาก็พบว่าหวูโยวของเขาไม่เพียงไม่ปัญญาอ่อนแล้วเท่านั้น แต่กลับฉลาดเป็นกรดอีกด้วย หยูโยวของเขาจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม บางครั้งแม้กระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกชื่นชม
เขารู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอีกไม่น้อย สวรรค์ช่างเมตตาต่อเขาจริง ๆ ซ้ำยังมอบบุตรสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้กับเขาอีกด้วย