ตอนที่ 7
เบอร์ผมอยู่ในนามบัตรนะครับ” เขาย้ำ กล่าวพลางยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาโรเล็กซ์สีทองเรือนหรูที่คาดอยู่บนข้อมือ ราวกับว่ามีนัดหมายเร่งด่วนรออยู่
ไม่นานจากนั้น ความสงบรอบๆหาดทรายบริเวณนั้น ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์ของเรือสปีด
โบ๊ทคันใหญ่สองลำ กำลังแล่นฉิวตรงมาด้วยความเร็วสูง เข้ามาจอดใกล้ๆกับจุดที่ชายหนุ่มชื่อกันต์ยืนอยู่
“คุณหนูครับ...ได้เวลากลับแล้วครับ” ชายสูงวัย ร่างเล็ก ผิวคล้ำ ยื่นใบหน้าออกมาจากเรือ พร้อมกับตะโกนเรียก
“ขอตัวก่อนนะครับ”
กันต์ส่งยิ้ม แลเห็นไรฟันขาว ก้าวยาวๆลงไปที่หน้าหาด ลุยน้ำไปยังเรือสปีดโบ๊ทที่จอดรออยู่ไม่ไกล ตรงจุดที่ใบพัดจากท้ายเรือสามารถถอยเข้ามาจอดเทียบได้ใกล้ที่สุดโดยไม่ติดพื้นทราย
จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เสี้ยวอึดใจสั้นๆเรือสองลำก็พากันหายลับไปหลังทิวเขาทะมึน ทิ้งเอาไว้เพียงริ้วลายเป็นทาง ทอดยาวอยู่บนพื้นน้ำ ไว้ให้ดูต่างหน้า
“ได้ยินเหมือนฉันไหม...อีตาบ้านั่นเป็นคุณหนู” มินตราเปรยขึ้นลอยๆ หันไปมองหน้าเพื่อนสาวเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง หากตำแหน่ง Managing Director ที่ปรากฏอยู่ในนามบัตร ก็ช่วยยืนยันทุกอย่างจนไม่หลงเหลือความคลางแคลงใดๆให้ต้องสงสัยในตัวเขา ทว่ามินตรากับดารินก็อดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันด้วยความงุนงง
“เป็นเอ็มดีตั้งแต่ยังหนุ่มแบบนี้ สงสัยเป็นทายาทมหาเศรษฐีแน่ๆเลยแก” ดารินสันนิษฐานไปตามที่เห็น
มินตราไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกไป ในใจคิดเพียงว่า ‘นายกันย์’ คนนี้ ไม่รู้ว่าจะเชื่อถือได้สักแค่ไหน อดคิดไปในทางร้ายไม่ได้ว่าอาจเป็นพวกสิบแปดมงกุฏ ยังไงต้องลองโทรไปตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่ารีสอร์ตตามนามบัตรที่ถืออยู่ในมือนั้นมีอยู่จริง
ที่บ้านหลังเล็กริมคลอง ตั้งอยู่บนเนื้อที่แคบๆ อาศัยเนินดินริมคันคลองเป็นที่ปลูกสร้าง ล้อมรอบไปด้วยดงกล้วยน้ำว้าและต้นมะพร้าว ถัดไปด้านหลังเป็นป่าละเมาะรกร้าง เนื้อที่กว้างใหญ่ เป็นที่ดินของเศรษฐีรายหนึ่งที่ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้รอให้ราคาที่ดินพุ่งขึ้นจนเป็นที่พอใจ
ด้วยมุ่งหวังในราคาของที่ดินซึ่งแพงลิบลิ่วขึ้นทุกวัน ทำให้เจ้าของมองข้ามรายได้อันจะเกิดจากการใช้ที่ดินเพื่อการเพาะปลูก แลออกไปจึงเห็นแต่ความรกร้างปรากฏแก่สายตา มีเพียงมะม่วงสามสี่ต้นที่ปลูกทิ้งเอาไว้ มันออกผลดกดื่นทุกปี หากก็ร่วงและสุกงอมคาต้นไปเอง บ้างก็เป็นอาหารให้กับนกหนูที่อาศัยอยู่แถวนั้น ไร้วี่แววว่าเจ้าของที่ดินจะมาสนใจใยดีกับผลผลิตอันน้อยนิดเหล่านั้น
มีหลายครั้งที่มินตรานึกอยากจะปีนข้ามรั้วเพื่อไปเก็บมะม่วง ทว่ายุพาผู้เป็นมารดาก็ห้ามไว้ ไม่อยากให้ใครมองว่าครอบครัวเธอลักขโมย ซึ่งถ้าเธอจะไปเก็บเอามาขาย ก็คงไม่มีใครว่า เพราะเจ้าของสวนเองก็ไม่เคยมาสนใจใยดี
เมื่อมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีร่างของมินตราเป็นคนซ้อนท้าย วิ่งเข้ามาจากหน้าปากซอยได้ชั่วอึดใจ ก็มาถึงหน้าบ้านหลังน้อย มินตราส่งเงินให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างโดยไม่ได้ถามราคา เพราะความที่เธอนั่งมอเตอร์ไซค์เป็นประจำจนคุ้นชินกับราคาค่าโดยสาร
“กลับมาแล้วค่ะแม่” เสียงใสตะโกนบอกคนที่อยู่ในบ้าน ให้รับรู้ถึงการมาของเธอ สองมือหอบหิ้วของฝากพะรุงพะรัง เป้สีดำใบย่อม สะพายไว้ด้านหลัง
“มินใช่ไหมลูก” เสียงของยุพาผู้เป็นแม่ที่กำลังง่วนงุ่นอยู่กับงาน ตะโกนออกมาจากหลังครัว กลิ่นใบตองจากขนมใส่ไส้ที่กำลังนึ่งอยู่ในซึ้ง กอรปกับกลิ่นควันฝืนที่โชยมาแตะต้องปลายจมูก ทำให้หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าแม่กำลังนึ่งขนม
“ทำอะไรอยู่คะแม่” มินตราถาม ทั้งที่ก็พอจะเดาได้
“กำลังนึ่งขนมอยู่จ้ะ”
“ไหนว่าจะหยุดสามวันไม่ใช่หรือคะแม่” มินตราเอ่ยถามด้วยความสงสัย ขณะก้าวเข้ามาในบ้าน วางถุงกุ้งแห้ง หอยดองในขวด ปลาหมึกตัวแบนบางที่เรียงซ้อนกันอยู่ในถุงพลาสติกใสพองลม พร้อมๆกับวางเป้สะพายใบย่อมลงช้าๆ
ยุพาชะแง้ใบหน้าออกมาจากหลังครัว ยกหลังมือขึ้นเกลี่ยช่อผมบางส่วนที่ร่วงระลงมาบดบังใบหน้า จากนั้นก็เหลียวกลับไปก้มยกซึ้งอลูมิเนียมที่ใช้นึ่งขนมลงจากเตาฟืนช้าๆ เอามาวางลงบนแคร่ไม้ไผ่ ยกหลังมือขึ้นปาดสายเหงื่อที่รินเรี่ยตรงหน้าผากอีกครั้ง จากนั้นจึงหันมากล่าวกับลูกสาว
“ทีแรกแม่ก็กะว่าจะหยุดพักสักสามวัน เอาเข้าจริงๆก็นึกเสียดาย รายได้หดหายไปสองวัน แม่รู้สึกว่าขาดทุนยังไงพิกล”
“ก็อย่าไปคิดอย่างนั้นสิแม่”
“ไม่คิดไม่ได้...อาชีพแม่ค้าก็รู้ๆกันอยู่ ว่าหาเช้ากินค่ำ เราไม่มีเงินเดือนให้รอให้คอยเหมือนพวกข้าราชการ วันไหนทำ ก็ได้เงิน ไม่ทำก็ไม่ได้เงิน”
“จริงแม่”
“ว่าแต่เอ็งเถอะ...รีบหาการหางานให้ได้ วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องมาเป็นแม่ค้าขนม แม่ไม่อยากเห็นเอ็งต้องกลายมาเป็นแม่ค้า