นายหัวผัวตัวจิ๋ว

203.0K · จบแล้ว
โดราบงบง
72
บท
9.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เมื่อนายหัวอย่างศิลาต้องมาเจอกับเด็กขี้แยอย่างตัวจิ๋ว เขาจะทำอย่างไรกับเด็กน้อยคนนี้ดี?เพราะตัวของศิลานั้น..เกลียดสิ่งที่เรียกว่าน้ำตามากที่สุด สงสัยว่าสันติคงไม่ใช่ทางออกสำหรับเรื่องนี้ซะแล้วล่ะมั้ง!

นิยายYaoiนิยายปัจจุบันตลกพลิกชีวิตดราม่าโรแมนติกพระเอกเก่งผู้ชายอบอุ่นฟินๆ21+

ตอนที่ 1

เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้..

20:49น.

ท่ามกลางทะเลที่เงียบสงบ กลับมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่..

แกร่บ แกร่บ..

"เบาหน่อยสิวะไอ้มิ่ง เดี๋ยวนายหัวก็ได้ยินหรอก" เสียงกระซิบของพร้าว หนุ่มวัยยี่สิบห้าพูดขึ้น

"มึงนั่นแหละไอ้พร้าวที่ต้องเบาเสียง มึงพูดทีเสียงดังก้องไปถึงสามบ้านแปดบ้าน" มิ่งเอ่ยบอก พร้อมกับมองพร้าวที่อยู่บนต้นมะม่วง

"โว๊ะไอ้นี่! เสียงกูดังไม่เท่ามึงหรอก"

"พวกมึงทำอะไรกัน"

"กูก็กำลังปีนเอาลูกมะม่วงอยู่ไงวะ มึงจะถามทำไมเนี้ยไอ้มิ่ง"

"กูเปล่าถามมึงนะเว้ย"

"เอ้า ละถ้าไม่ใช่มึง..แล้วใครวะ" พร้าวถามขึ้นด้วยความสงสัย สายตาก็ยังจดจ่ออยู่ที่มะม่วงลูกสวยอยู่

"กูเอง"

ทั้งสองหันไปมองทางด้านหลังของตัวเองทันที พร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

"นายหัว!!"

"พวกมึงเข้าไปคุยกับกูในบ้าน ก่อนที่กูจะให้ไอ้สิงค์มาลากคอพวกมึงลงทะเล" ศิลาพูดเสียงเข้ม พร้อมกับเอ่ยถึงสิงค์ ลูกน้องคนสนิทของตน ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

"คะ..ครับๆ" มิ่งและพร้าวรีบตอบรับด้วยความรนลาน พร้าวรีบลงจากต้นมะม่วงด้วยความรวดเร็ว

"ฉิบหายแล้วมึง! นายหัวเอาพวกเราตายห่าแน่" มิ่งพูดเสียงสั่น

"ก็ใครละวะ เสือกอยากแดกมะม่วงตอนสองทุ่มน่ะห๊ะ!" พร้าวขมวดคิ้วแล้วยกมือกุมขมับตัวเองนิดๆ

"เฮ้อออ ตายแน่ๆมึงกับกูเนี้ย" พร้าวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"รีบไปกันเถอะมึง นายหัวมานิ่งๆแบบนี้งานเข้าแน่นอน" มิ่งพูดเสียงเครียด พร้าวพยักหน้าแล้วรีบเดินไปหาศิลาในบ้านหลังใหญ่ทันที ตามด้วยมิ่งที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามพร้าวไป

บ้านศิลา

เมื่อพร้าวกับมิ่งมาถึงก็เคาะประตูสักสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดเข้าไป เขาเห็นว่าศิลากำลังนั่งเช็ดปืนคู่ใจของตัวเองอยู่ พร้าวกับมิ่งเผลอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น

"พะ..พวกผมขอโทษครับนาย" พร้าวพูดเสียงสั่น พร้อมกับยกมือไหว้ศิลา มิ่งเองก็ทำแบบพร้าวเช่นกัน

"พวกมึงปีนต้นมะม่วงทำไม?" ศิลาถามขึ้น โดยไม่มองหน้าลูกน้องทั้งสอง

พร้าวกับมิ่งมองหน้ากันนิดๆ ก่อนที่มิ่งจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้น

"พอดีผมอยากกินมะม่วงครับนายหัว แต่ปีนไม่เป็น ผมก็เลยให้ไอ้พร้าวมันปีนให้ครับ..ผมขอโทษขโมยครับนายหัว" มิ่งก้มหน้าลงนิดๆเมื่อพูดจบ

"กูเคยบอกว่ายังไง..?" ศิลาชะงักมือที่กำลังเช็ดด้ามปืนอยู่แล้วเงยหน้ามองลูกน้องทั้งสองนิ่งๆ

"ห้ามทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาตครับ/ห้ามทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาตครับ" ทั้งคู่ตอบศิลาพร้อมกัน

"แล้วพวกมึงทำทำไม" ศิลาวางปืนไว้ที่โต๊ะ พร้อมกับจ้องหน้ามิ่งกับพร้าวไปมา

"คือ..ไอ้มิ่งมันเห็นว่าดึกแล้วครับนายหัว มันเลยไม่อยากรบกวนครับ" พร้าวพูดบอก

"ก็เลยขโมย?..ถ้ากูไปหยิบของพวกมึงโดยไม่ขอบ้าง พวกมึงจะรู้สึกยังไง...กูไม่เคยห้ามใคร ไม่ว่าจะทำอะไร แต่ที่กูเคยบอกพวกมึงเอาไว้ว่ามีอะไรให้บอกกูก่อน ทำไมพวกมึงไม่ทำ!?" ศิลาพูดเสียงเข้มพร้อมกับตบโต๊ะด้วยความโมโห

ปัง!

ทั้งสองสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

"ครั้งนี้กูจะถือว่านี่คือโทษครั้งแรกของพวกมึง กูแค่จะเรียกมาตักเตือนและปล่อยพวกมึงไป แต่ถ้ามันมีอีกครั้งเมื่อไหร่..พวกมึงสองคนเตรียมตัวออกทะเลได้เลย" ศิลาพูดพร้อมกับหยิบปืนและเอาเก็บไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะ

คำว่าออกทะเลของศิลา ทำให้พร้าวและมิ่งรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ถ้าไม่ใช่การเอาพวกปลา ผักและผลไม้ไปส่งในเมือง ซึ่งระยะทางที่ต้องไปนั้นคืออีกฟากของทะเล และระยะเวลาที่ไปก็ไม่ต่ำกว่าหกเดือน มันเลยทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากเอาของไปส่งเท่าไหร่ ถึงแม้ค่าตอบแทนมันจะสูงมากแค่ไหนก็ตาม

"ขอบคุณมากครับนายหัว/ขอบคุณครับ" ทั้งคู่ยกมือไหว้ศิลาพร้อมกันแล้วพากันเดินออกจากบ้านไป

ศิลาจ้องมองแผ่นหลังของลูกน้องตัวเองนิ่งๆ เขารู้ดีว่าตัวเขาเป็นคนที่ดุและเข้มงวดมาก แต่เพราะเขาต้องดูแลลูกน้องหลายร้อยชีวิต มันเลยทำให้เขาต้องเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่เคยลงโทษใครโดยที่ไม่มีเหตุผล นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกน้องรักและเคารพเขา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะดุ แต่พวกเขาก็อยู่กันแบบครอบครัว ไม่ใช่แค่หน้าที่เพียงแค่เจ้านายกับลูกน้อง เหมือนคนอื่นๆ

..

..

"ฮึก ฮืออออออออออ" เสียงร้องไห้โฮของตัวจิ๋วดังขึ้น ท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าสิบคน ซึ่งตอนนี้ตัวจิ๋วได้อยู่บนเรือใหญ่ที่กำลังแล่นไปที่ไหนสักที่

"มึงจะแหกปากร้องทำไมนักหนาวะ!" ชายแก่ตะคอกใส่ด้วยความไม่พอใจ

"ปะ..ปล่อยผมไปเถอะนะครับ ฮึก ฮือออออ ผมขอร้อง" ตัวจิ๋วเอ่ยเสียงสั่นด้วยความกลัว

"ปล่อยมึงไปให้โง่รึไง กูซื้อมึงจากอีแม่หน้าเงินของมึงมาไม่ใช่น้อยๆ จะให้กูทำทานแล้วปล่อยมึงไปง่ายๆแบบนี้เหรอ! กูไม่ได้โง่นะเว้ย" ชายแก่เหยียดยิ้มมองตัวจิ๋วที่โดนมัดมือมัดเท้านั่งซุกตัวอยู่ข้างหีบใส่ปลา

"ฮือออออออออออ " ตัวจิ๋วปล่อยโฮทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

ก่อนหน้าที่ตัวจิ๋วจะถูกจับขึ้นเรือมา เขาได้ไปเดินตลาดกับแม่ตามปกติ ความจริงเขาเองก็รู้ดีว่าแม่แท้ๆของเขาคนนี้ไม่ได้อยากให้เขาเกิดมา และไม่ได้รักเขาเลยแม้แต่น้อย ส่วนพ่อของเขาก็หายไปตั้งแต่เด็ก ซึ่งผู้ใหญ่ที่เขารู้จัก ต่างก็บอกว่าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงขายบริการ และเกิดพลาดท้องขึ้นมา ส่วนพ่อของเด็กนั้น..ไม่มีใครตอบได้เลยสักคนว่าคือใคร รวมทั้งแม่ของเขาเองด้วย

ตอนที่เขาเกิดมา แม่ของเขาก็คิดจะทำแท้ง แต่ดีที่ยายเอ่ยปากขอให้เก็บเขาเอาไว้ และจะเป็นคนเลี้ยงเขาให้เอง ซึ่งพอแม่ของเขาได้ยินแบบนั้นก็เลยจำใจที่ต้องอุ้มท้องเขามาเก้าเดือน หลังจากเขาคลอด เธอก็หายออกไปจากชีวิตของเขาทันที โดยปล่อยให้ยายเป็นคนเลี้ยงเขาจนเขาอายุได้สิบแปดปี หลังจากนั้นแม่ของเขาก็กลับมา

และหลังจากนั้นไม่นานยายของเขาก็เสียด้วยโรคมะเร็ง ทำให้เขาต้องอยู่กับแม่เพียงแค่สองคน แม่ใช้ให้เขาออกจากมหาลัย ทั้งๆที่เขาพึ่งได้เริ่มเรียนแค่เพียงสามวันเท่านั้น ส่วนเหตุผลก็เพราะเธอต้องการให้เขาช่วยเธอหาเงิน เพราะเธอติดหนี้การพนัน ซึ่งตัวจิ๋วนั้นก็เต็มใจและยินดีทำทุกอย่างให้กับเธอ เพราะยายของเขาเป็นคนสั่งสอนเขามาตั้งแต่เด็ก ว่าให้ตอบแทนพ่อแม่รวมไปถึงผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเขา เขาจึงต้องทำตามคำสอนของยายที่สอนก่อนที่จะลาจากโลกนี้ไป

พอตัวจิ๋วอายุได้สิบปี แม่ของเขาก็ติดการพนันหนักขึ้น และเขาเองก็ต้องหาเงินให้หนักขึ้นเช่นกัน จนวันนี้มาถึง..วันที่เธอให้เขาไปตลาดด้วยกัน วันนั้นเขาเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะแม่ของเขาไม่เคยชวนไปไหนมาก่อน แต่ด้วยความที่เขาไม่อยากคิดอะไรมาก เขาจึงเดินตามแม่ไป จนไปหยุดอยู่ที่ท้ายตลาด ซึ่งมีตึกเก่าหลายตึกอยู่ติดๆกัน แต่ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากที่สุดนั่นก็คือ..กลุ่มชายมากมายที่ยืนอยู่

หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ความจริงว่าแม่เอาเขามาขายให้กับเสี่ยที่แม่ไปติดหนี้เขาเอาไว้..

..

..

เช้าวันต่อมา

ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้น เมื่อศิลาได้รับโทรศัพท์จากยุธณา เสี่ยที่ค้าขายกับเขา ว่าวันนี้จะมีสินค้าตัวใหม่มานำเสนอ ถึงแม้ศิลาจะรู้สึกตะหงิดใจบ้างเล็กน้อย เพราะปกติยุธณาจะไม่เป็นฝ่ายมาหาเขา ถ้าไม่ได้มาเหมาของขึ้นไปอีกฟากนึงของเกาะก็ต้องเอาหนี้ที่ยืมไปมาใช้คืน ถึงจะมาที่นี่ได้ ซึ่งยุธณากู้นั้น รวมๆก็หลายสิบล้านพร้อมดอกเบี้ยในตัว

"ให้เตรียมอาวุธเอาไว้มั้ยครับนายหัว" สิงค์เอ่ยถาม

ศิลามองลูกน้องที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง

"ไม่ต้อง มันไม่กล้าตุกติกหรอก..เพราะมันรู้ว่ามันกำลังคุยอยู่กับใคร"

สิงค์พยักหน้ารับรู้ แต่ความวิตกของเขาก็ยังไม่หายไป เพราะการกระทำของยุธณามันค่อนข้างแปลกและแตกต่างไปจากเดิม

"ของที่มันบอก..ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนครับนายหัว" สิงค์ขมวดคิ้วพูดเสียงเครียด ศิลามองออกไปนอกหน้าต่างที่มีทะเลอันกว้างไกลอยู่ตรงหน้า

"ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ..มันจะได้รู้ว่ามันพลาดมากแค่ไหน ที่เอาคนมาต่อรองกับกู" ศิลาพูดเสียงเข้ม ดวงตาวาวโรจน์และเต็มไปด้วยความดุดัน

หลังจากเวลาผ่านไปสองชั่วโมง ลูกน้องของศิลาก็รีบวิ่งเข้ามาหาที่หลังสวนผลไม้ ที่ศิลาปลูกเอาไว้ขายส่งออก

"พวกมันมากันแล้วครับนาย เห็นว่ามีผู้ชายผิวขาวถูกมัดมาบนเรือด้วยครับ" พร้าวเอ่ยบอก คิ้วของศิลากระตุกเล็กน้อย เพราะไม่ต่างจากที่สิงค์ ลูกน้องของเขาคิดเท่าไหร่

"บอกมันให้รอที่ท่าเรือ เดี๋ยวกูไป" ศิลาพูดจบก็กลับเข้าไปในบ้าน เพื่อที่จะหยิบปืนคู่ใจออกมา

..

..

“เอาแม่งลงมา” ยุธณาเอ่ยบอก

ถึงแม้ตัวจิ๋วอยากจะดิ้นหนีมากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ว่าไม่สามารถหนีไปได้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองนั้นอยู่ทีไหนแล้ว และถ้าเขาคิดจะหนีจริงๆ จะมีใครพอที่จะช่วยเขาได้หรือไม่

“ทำหน้าให้มันดีดีหน่อยได้มั้ย กูกำลังมาปล่อยมึงให้เป็นอิสระอยู่นี่ไง”

ตัวจิ๋วก้มหน้าลงนิดๆ น้ำตายังคงเปียกไปทั่วใบหน้า ถ้าหากเขาจะต้องทรมานไปมากกว่านี้ละก็..เขายอมตายเสียดีกว่า

“พวกนายหัวมันมากันแล้วนาย” ลูกน้องของยุธณากระซิบบอก ตัวจิ๋วเองก็ได้ยินประโยคเหล่านั้นทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง เพราะชะตากรรมของตัวเองตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับผักปลาเลยสักนิด

“สวัสดีนายหัวศิลา” ยุธณาเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มกว้าง

ศิลามีเพียงใบหน้าที่เรียบนิ่งตอบกลับไปเท่านั้น ซึ่งนี่คือใบหน้าที่ปกติสำหรับผู้ที่พบเห็น

“มึงเอามันมาทำไม” ศิลาปลายตามองไปที่ชายหนุ่มผิวขาว ท่าทางกำลังหวาดกลัวอยู่

“เราจะคุยกันตรงนี้หรือ ผมว่าเราเข้าไป..”

“ถ้ามึงไม่คุยตรงนี้ก็กลับไป กูไม่ได้ว่างที่จะคุยเรื่องไร้สาระกับมึงทั้งวัน” ศิลาพูดสวนกลับไปเสียงเข้ม ยุธณาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มตัวเองอย่างเสียหน้า แต่ก็เขาก็ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“พอดีผมมีสินค้ามานำ..”

“กูไม่เอา” ศิลาจ้องหน้ายุธณาเขม็ง เพราะเขารู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้ว ว่าต้องการอะไร

“แต่นายหัว..ผมได้ยินข่าวมาว่าที่นี่ไม่มีผู้หญิงเลย ผมเลยหวังดี อยากจะให้..”

“ถ้ามึงไม่เอามันกลับไป..ลูกตะกั่วของกูอาจจะเข้าไปอยู่ในหัวมึงแทน” ศิลาเปิดเสื้อตรงหน้าท้องของตัวเองนิดๆ ทำให้เห็นด้ามปืนที่เหน็บอยู่ในนั้น ยุธณาถอยหลังไปนิด ลูกน้องของยุธณาและศิลาต่างก็ยกปืนขึ้นมาแล้วเล็งใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ตัวจิ๋วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความกลัว แต่พอเขามองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ชื่อศิลา ความอบอุ่นในหัวใจของตัวจิ๋วก็เริ่มขึ้น ความรู้สึกของตัวจิ๋วมันบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือคนที่จะดูแลและปกป้องตัวของเขาได้อย่างแน่นอน

“มึงกลับไปซะ มึงก็รู้ว่ามึงสู้ลูกน้องกูไม่ได้หรอก..และสั่งให้พวกมันเอาปืนลงด้วย..กูไม่ชอบให้ใครเอาปืนมายื่นตรงหน้ากู” ศิลาปิดเสื้อลงแล้วจ้องหน้ายุธณาอีกครั้ง นั่นทำให้ยุธณาจำต้องหันไปสั่งลูกน้องเพื่อให้เก็บปืนลง

“ผมเองก็ไม่ได้อยากจะเอาตัวมันมาแลกกับหนี้ทั้งหมดหรอก แค่อยากจะเอามาลดดอกนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเองนายหัว นายหัวเองก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำอะไรไม่ใช่เหรอ เรามันคนกันเองทั้งนั้นนี่น่า ค้าขายด้วยกันมาก็มาก จะไม่ช่วย..”

“กูจะเอาเงินเท่านั้น! นอกนั้นกูไม่เอา” ศิลาจ้องหน้ายุธณาด้วยแววตาดุดัน

ตัวจิ๋วที่ได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดไปทันทีที่ได้ยินถ้อยคำปฎิเสธของศิลา ถ้าหากให้เขาต้องกลับไปลงนรกอีกครั้งกับคนพวกนี้ เขายอมอยู่กับคนน่ากลัวอย่างศิลายังดีเสียกว่า

“เอายังไงดีตัวจิ๋ว..เราจะทำยังไงดี” ตัวจิ๋วคิดในใจอย่างกลัวๆ

“แต่นายหัว..นายหัวไม่ลองคิดดูสักนิดหน่อยเหรอ หรือจะดูสินค้าก่อนก็ได้นะ” ยุธณาพยายามหว่านล้อม

“กู ไม่ เอา..ถ้ายังเล่นลิ้นแพล่มมากจนกูรำคาญไปมากกว่านี้ละก็..พวกมึงจะไม่มีใครได้ออกไปจากเกาะของกูอีกเลยตลอดชีวิต”

ยุธณานิ่งเงียบไปทันทีเมื่อเจอประโยคของศิลาที่พูดมา เขารู้ดีว่าคนอย่างศิลา ถ้าบอกว่าไม่..ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น

“ถ้างั้น..ผมก็ต้องขอโทษนายหัวด้วยที่ทำให้นายหัวเสียเวลานานขนาดนี้” ยุธณาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ศิลาเมื่อได้ยินแบบนั้นก็เตรียมที่จะหันหลังเพื่อกลับไปทำงานต่อ

ตัวจิ๋วเบิกตากว้าง เมื่อเห็นคนตรงหน้าหันหลังให้เขา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วสะบัดตัวออกจากการจับกุมของลูกน้องยุธณาทันที และรีบวิ่งเข้าไปเกาะขาศิลาเพื่อหวังที่จะให้อีกฝ่ายช่วย ท่ามกลางความอึ้งของลูกน้องศิลาและยุธณาที่พบเห็น

“ผมอยากอยู่กับคุณครับ คุณช่วยเอาตัวผมไปหน่อยได้มั้ย!” ตัวจิ๋วพูดเสียงสั่น ตอนนี้น้ำตาของเขาเอ่อคลอเพื่อขอร้องคนตรงหน้า

ศิลาขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าใสที่พูดขออยู่นิ่งๆ ทั้งสิงค์ พร้าวและมิ่งรับรู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังงานเข้าอย่างแท้จริงแล้ว เพราะถึงแม้ศิลาจะไม่ได้โหดเหี้ยมจนดูอำมหิต แต่ก็ใช่ว่าจะใจดีกับสิ่งมีชีวิตที่กล้าแตะตัวของศิลา ซึ่งการกระทำของเด็กหนุ่ม คือสิ่งที่ไม่มีใครในเกาะกล้าทำแม้แต่คนเดียว

“ปล่อยขากู..แล้วไส้หัวออกไป” ศิลากัดฟันพูดเสียงเข้ม แต่ยิ่งศิลาพูดแบบนั้น มันยิ่งเป็นการเพิ่มแรงกอดที่ขาของตัวเองมากยิ่งขึ้น ตัวจิ๋วซุกหน้าไปที่เข่าของศิลาแล้วพูดขออย่างอ้อนวอน

“ผะ..ผม ฮึก ผมไม่อยากไปกับพวกเขา ฮือออออ” ตัวจิ๋วปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ศิลาชะงักเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ที่ขาของเขา

“ฉิบหายละ! นายหัวเกลียดน้ำตา” พร้าวพูดพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืนๆ

“ไอเด็กนั่นตายแน่” สิงค์พูดเสียงเครียด และเดินเข้าไปหาศิลาเพื่อช่วยเด็กหนุ่ม

“นายหัว ผมว่านายหัวรับมันเถอะ” สิงค์พูดบอก ยุธณาที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

“ให้กูรับมัน!?” ศิลาขมวดคิ้วหันไปมองลูกน้องคนสนิทด้วยความไม่พอใจ สิงค์เดินเข้าไปใกล้ศิลาแล้วกระซิบบอก

“มันอาจจะช่วยเรื่องรังนกที่เรากำลังส่งออกขายได้นะนายหัว เพราะไอ้เด็กนี่รูปร่างมันเล็กๆ ไม่เหมือนคนในเกาะของเรา ที่ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ ถ้าเราเอามันมาปืนขึ้นเพื่อเอารังนก งานเราก็จะได้เสร็จเร็วขึ้นด้วยไงนายหัว” สิงค์พยายามพูดหว่านล้อม ศิลาที่ได้ฟังก็นิ่งคิด พร้อมกับมองหัวของเด็กหนุ่มที่ยังเอาหน้าซุกอยู่ที่ขาของเขาแล้วร้องไห้อยู่ ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับหันไปจ้องหน้ายุธณาอีกครั้ง

“ถ้ากูเอามัน..กูจะลดดอกให้มึง..แค่สามแสน” ศิลาพูดเสียงนิ่ง

“แต่ผมซื้อมันมาสามล้านเลยนะนายหัว” ยุธณาเอ่ยบอกด้วยความไม่พอใจ ที่จำนวนตัวเลขมันน้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้

“กูเอามันมา ก็ไม่รู้ว่าจะใช้งานมันได้มากแค่ไหน กูต้องรับภาระต่อจากมึง..ที่กูให้แค่สามแสนก็ถือว่ามากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้ามึงไม่เอา..ก็รับไอ้เด็กนี่คืนไป” ศิลารับรู้ถึงแรงสั่นของร่างกายเด็กน้อยตรงเท้าได้ดีว่ากำลังรู้สึกกลัวมากแค่ไหน

“ก็ได้นายหัว ผมตกลง” ยุธณารีบพูดบอก

“ถ้างั้นมึงก็กลับกันไปได้ละ เพราะไอ้เด็กนี่..เป็นของกูแล้ว”

+++++++++++++++

#เอาตอนแรกมาให้ลองอ่านเล่นๆกันก่อนงับบบบบ

#ชอบหรือไม่ชอบยังไงคอมเม้นบอกได้น้าาาา

**ยังไม่มีแพลนที่จะแต่งต่อนะงับบบ แต่จะพยายามไม่ให้รอนานเกินไปนะคะ ขอหาเวลาว่างก่อนนน