

ตอนที่ 6 ยังไม่ไว้ใจ
ตอนที่ 6 ยังไม่ไว้ใจ
นาราเดินตามนายหัวภูผาเข้ามาในบ้านหลังใหญ่สองชั้นด้วยความทุลักทุเลเพราะแบกกระเป๋าใบใหญ่มาด้วยสองใบ เธอกวาดสายตามองไปรอบๆบ้าน บริเวณบ้านกว้างขวางแต่โคตรรกเลย
ชั้นล่างเต็มไปด้วยอุปกรณ์และของอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ วางเต็มไปหมดไม่เป็นระเบียบ เห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตานาราเหลือเกิน
"ชั้นบนเป็นห้องนอนกับห้องทำงานของฉัน เธอเป็นผู้หญิงห้ามขึ้นไป" นี่คือคำสั่ง!
"ค่ะ"
"โน่นห้องน้ำ เธอเข้าไปใช้ก่อน เสร็จแล้วเดินไปหาไอ้สองคนเมื่อกี้ ส่วนห้องของเธออยู่ทางโน้น วันนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้มาทำความสะอาดเอาเอง เสร็จแล้วก็เข้ามาอยู่ได้เลย"
"ค่ะ"
"รีบจัดการตัวเอง เสร็จแล้วเรียกด้วย ฉันจะใช้ห้องน้ำต่อ" บ้านหลังนี้มีห้องน้ำแค่ห้องเดียว เมื่อก่อนใช้คนเดียวแต่เมื่อมีคนมาอยู่ด้วยก็คงต้องแชร์กัน
"ค่ะ"
สั่งเสร็จเขาก็หันหลังแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป ส่วนนาราเธอรีบหยิบเสื้อผ้าเอาเข้าห้องน้ำไปด้วย แล้วรีบจัดการตัวเองให้เสร็จโดยไว
ทางด้านภูผา เขาขึ้นชั้นบนไปโทรศัพท์สั่งงานบางอย่างกับลูกน้อง สักพักใหญ่ๆเสียงนาราก็ตะโกนขึ้นมาเรียกตามที่เขาได้สั่งเอาไว้
"นายหัวคะ...หนูใช้ห้องน้ำเสร็จแล้วค่ะ" นาราตะโกนบอก ก็เขาสั่งห้ามไม่ให้เธอขึ้นไปก็คงมีวิธีนี้วิธีเดียว
"อือ..." คนตัวสูงขานรับพร้อมกับเดินลงมาจากชั้นบน เสื้อไม่ได้ใส่ ส่วนท่อนล่างยังคงเป็นกางเกงยีนตัวเดิม มีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่บนบ่า
นารามองไปที่หุ่นล่ำๆของเขานั้นถึงกับใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอไม่คิดว่าคนตรงหน้านอกจากใบหน้าจะหล่อแล้วหุ่นของเขาก็ยังดูดีมากอีกด้วย
"หนูไปเลยนะคะ" ดูเหมือนว่าคนหุ่นดีจะยังไม่รู้ตัวว่ามีคนแอบมองหุ่นล่ำบึกของเขา ซึ่งปกติเขาก็ชอบถอดเสื้อเดินแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาอยู่ในบ้านหรือเวลาทำงานในสวน
"ก็ไปสิ" เขาพยักหน้าให้ นาราจึงรีบหมุนตัวเดินออกจากบ้านไป ส่วนนายหัวภูผาเขาก็เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำตามปกติ
นาราเดินมาถึงหน้าห้องพักคนงานก็เจอกับพี่เอกและพี่โอนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองคนถูกนายหัวโทรสั่งงานเมื่อสักครู่ ให้ลองคุยกับเธอดู ให้สังเกตพฤติกรรม โดยทำเป็นชวนคุยสอบถามประวัติ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะนายหัวของที่นี่ยังไม่ไว้ใจเธอนั่นเอง
"นารากินข้าวหรือยัง" เสียงพี่โอเอ่ยถามนาราด้วยรอยยิ้ม เธอกำลังถูกทดสอบตามหน้าที่ ส่วนคนที่ทำหน้าที่ทดสอบเธอไม่ได้มีอคติกับเธอแต่อย่างใด
"กินแล้วจ่ะ กินที่บ้านแม่นายหัว" นาราตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เธอไม่รู้เลยว่าพวกพี่ๆกำลังจับผิดเธออยู่
"น้ำในห้องดื่มได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ"
"ขอบคุณค่ะ"
"นั่งลงก่อนสิ ยังไม่ดึกเลย คุยกันก่อน" โต๊ะไม้หินอ่อนตัวยาวมีสมาชิกในสวนนั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้วหกคน รวมนาราด้วยก็เป็นเจ็ด เรียกได้ว่าอบอุ่นครึกครื้นน่าดู เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ดูๆแล้วไม่น่าจะเหงา
"คืนนี้หนูต้องรบกวนพวกพี่ ขอบคุณมากนะคะ" คนขี้เกรงใจแต่ไม่มีทางเลือกเอ่ยขอบคุณพี่เอกกับพี่โอที่ยอมเสียสละห้องให้เธอซุกหัวนอน
"เฮ้ย...เรื่องเล็กน้อยน่า พวกพี่อยากรู้เรื่องของเรามากกว่า ทำไมถึงมากับนายหัวได้ อายุยี่สิบหรือยังเนี่ย" เอกเริ่มยิงคำถาม ด้วยท่าทางปกติ
"หนูอายุยี่สิบแล้วค่ะ ส่วนเรื่องที่หนูมากับนายหัวได้ยังไงนั้น เรื่องมันยาว พวกพี่จะอยากฟังเหรอคะ" ซึ่งคำถามพวกนี้ก็ไม่ได้ทำให้นารารู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เธอยินดีเล่าเรื่องของเธอให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ฟัง
"เล่ามาเถอะ พี่มีเวลานั่งฟังทั้งคืนนั่นแหละ"
"คืออย่างนี้ค่ะ" นาราเริ่มเล่าให้ทุกคนฟังในแบบคร่าวๆ ทุกคนยิงคำถามใส่เธอไม่ยอมหยุด แต่เธอก็พร้อมที่จะตอบคำถามของทุกคนด้วยความจริงทุกคำพูด
"คนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัว มีเรื่องอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะ" เมื่อทุกคนฟังเรื่องราวของเธอจบ ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจนารามาก เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเท่านั้น แต่ไม่ว่าใครที่ได้เข้ามาอยู่ในสวนของนายหัวภูผาแห่งนี้ ทุกคนจะต้องถูกตรวจสอบที่มาที่ไปทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง
"ขอบคุณพวกพี่อีกครั้งนะคะ หนูรู้สึกเกรงใจมากๆแต่ก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จริงๆ"
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ ห้องพี่ก็จะรกๆหน่อย เก็บดีสุดได้แค่นี้แหละ ทนนอนไปก่อนคืนนึงแล้วกัน" นารายิ้มหวานให้พวกพี่ๆที่นั่งคุยอยู่ด้วยกัน บางคนอายุเป็นพ่อเป็นแม่เธอได้แล้วก็มี เรียกพี่เรียกน้าตามอายุไป
"เอาล่ะ นาราเข้าไปพักผ่อนเถอะ นั่งนานยุงอิ่มพอดี ไปพวกเราแยกย้ายน้องมันจะได้พักผ่อน" ทุกคนลุกขึ้นจากโต๊ะไม้หินอ่อนแล้วเดินเข้าห้องใครห้องมัน ส่วนนาราเข้าห้องของพี่เอกกับพี่โอ ซึ่งสภาพห้องก็ตามประสาชายโสดนั่นแหละ
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องคนเดียว นาราไม่ลืมที่จะส่งข่าวบอกป้าบุญ ป่านนี้ท่านคงเป็นห่วงแย่แล้ว
"ฮาโหลนารา หนูเป็นยังไงบ้างลูก ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน"
"หนูได้ที่พักแล้วค่ะ อยู่ในสวน ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ ที่นี่มีแต่คนใจดี"
"ปลอดภัยหรือเปล่า เราเป็นผู้หญิงต้องดูแลตัวเองดีๆนะ"
"ปลอดภัยแน่นอนจ่ะ ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ"
"เอ็งปลอดภัยมีที่พักแล้วป้าก็สบายใจ"
"ป้า...แล้วทางบ้านแม่เป็นยังไงบ้าง"
"จะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ ไม่ต้องไปอยากรู้หรอก"
"จ่ะ" พูดคุยกันต่ออีกหน่อยก็วางสายไป สำหรับนารา เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เธอขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่
ทางด้านนายหัวภูผา เขานอนเอาแขนก่ายหน้าผาก คิดถึงคำทำนายเส้นลายมือที่นาราพูดถึงเมื่อช่วงหัวค่ำ ช่วงนี้เขาฝันเห็นคนสมควรตายอยู่บ่อยๆ ซึ่งตอนนี้ไอ้คนสมควรตายคนนั้นมันก็ได้หายจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยน้ำมือของเขา ยิ่งเธอมาพูดเขายิ่งนอนไม่หลับ แอบคาดโทษเธอเอาไว้ในใจ โทษฐานทำให้เขานอนไม่หลับ
เหตุการณ์วันนั้น ท้องฟ้ามืดครึ้มฝนทำท่าจะตก เขากับลูกน้องกำลังหาตัวคนร้ายที่มันกล้าเอามีดมาแทงน้องชายของเขา เหตุการณ์ที่ว่ามันผ่านมาเกือบปีแล้ว
เขากับลูกน้องหาตัวคนร้ายอยู่หลายวันในที่สุดก็เจอตัว มันกำลังหนีตำรวจอยู่ ซุกซ่อนตัวอยู่ในป่า ไม่ตายเพราะถูกฆ่าก็คงตายเพราะอดอาหาร เขาจึงมาช่วยสงเคราะห์ให้มันลงนรกเร็วขึ้น
"นายหัวเจอตัวแล้วครับ" คนมีคดีติดตัวได้ยินเสียงนี้ถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นพรวดพราดด้วยความตกใจกลัว
"พวกมึงเป็นใคร ตามหาตัวกูทำไมต้องการอะไร" มันเห็นว่าไม่ใช่ตำรวจแถมยังไม่เคยเห็นหน้า จึงตะโกนถามออกมาเสียงดัง
"แล้วมึงไปทำอะไรไม่ดีไว้ล่ะ" แววตาดุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มๆ จนคนฟังถึงกับขนลุก มันกลัวเพราะมีความผิดติดตัวจึงทำให้มันหันหลังเตรียมที่จะหนี แต่เมื่อหันหลังไปก็เจอกับกระบอกปืนที่แค่เหนี่ยวไกชีวิตไร้ค่านี้ก็คงดับลงทันที
"อย่าคิดหนี...เพราะยังไงวันนี้มึงก็หนีความตายไม่พ้นหรอก" ตำรวจกำลังตามหาตัว ทำงานช้าเกินไปไม่ทันใจนายหัวอย่างภูผา จับตัวได้ก็แค่ติดคุก อีกเดี๋ยวก็คงได้ออกมาแล้วก็ก่อเรื่องอีก วันนี้เขาจะช่วยตำรวจทำงานและทำให้แผ่นดินนี้มันสูงขึ้น
"มึงจะทำอะไรกู!" มันกำลังถูกล้อม แถมยังมีปืนจ่อมาที่ศีรษะ คิดว่ายังไงวันนี้ตัวมันก็คงไม่รอดอย่างแน่นอน
"พวกมึงผูกเชือก" ภูผาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเข้ม คนเป็นลูกน้องที่ถือเชือกมา โยนเชือกขึ้นไปบนกิ่งไม้ใหญ่ และทำห่วงให้เสร็จพร้อมที่จะเอาคอคนใส่เข้าไป
"กูไปทำอะไรให้มึง" มันถามออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ยังไม่รู้ตัว!
"ไหนๆวันนี้มึงก็จะตายแล้ว กูจะบอกให้ก็ได้ ใครใช้ให้มึงเอามีดมาแทงน้องกู" คำพูดของนายหัวภูผาทำให้เจ้าตัวที่กำลังหลบหนีคดีอยู่รู้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้มาด้วยเหตุผลอะไร
"น้องมึงเหรอ"
"เออ...เชือกเส้นนั้นกูทำให้เหมาะสำหรับมึงดี...ไป!" ลูกน้องที่นายหัวภูผาพามาด้วยเป็นลูกน้องที่มีอดีตผ่านการเข้าๆออกๆคุก แต่ตอนนี้มีงานทำมีที่อยู่แล้ว ซึ่งคนพวกนี้มีความกล้าที่จะทำงานแบบนี้ ส่วนคนอื่นๆเขาจะไม่ให้เข้ามายุ่ง
"กูไม่ทำ กูยังไม่ได้อยากตาย"
"ถ้าอย่างนั้นมึงก็เลือกเอาว่าจะตายแบบศพสวยหรือสมองไหล" แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขู่
"กูบอกให้ขึ้นไปไง ไปตายซะ!" ความกดดันของปืนกระบอกนั้น กับเจ้าตัวที่หมดหนทางหนีแล้ว ไหนจะตำรวจที่ตามล่า ออกไปหาอาหารกินก็ยังลำบาก งานก็ทำไม่ได้เงินก็ไม่มี มันจึงยอมผูกคอตายจบชีวิตตัวเอง
มันไม่ได้อยากตายแต่สถานการณ์มันบังคับ ยอมติดคุกก็เหมือนตายทั้งเป็น เพราะมันเพิ่งจะออกมาเมื่อไม่นานมานี้ และไม่อยากกลับเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นมันจึงยอมตายดีกว่า ทันทีที่มันยอมผูกคอตายหมดลมหายใจ ภูผากับลูกน้องหันหลังกลับไป ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ตำรวจมาเจอศพแต่ไม่พบร่องรอยใดๆทั้งสิ้น จึงตัดสินคดีว่าผู้ตายผูกคอตายเองที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า
