บทที่ 5
การเดินทางบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศไทยตรงมายังรัฐอัลคารา ต้องใช้เวลาในการนั่งอยู่บนเครื่องบินรวมยี่สิบชั่วโมง เครื่องบินโบอิ้ง 787 จึงแตะกับพื้นดินของสนามบินานาชาติอัลคารา
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินแล้ว อักษราภัคต้องนั่งรถแท็กซี่อีกสองร้อยกิโลเมตร ถึงจะสามารถเยือนถิ่นของมาคิล อัล ฟามิลได้
เป็นเวลาบ่ายคล้อย ดวงอาทิตย์แรงกล้าสาดส่องบนละอองเม็ดทรายให้ร้อนระอุไปทั่วทั้งบริเวณ อักษราภัคจึงเดินทางมาถึงโอเอซิสอันอุดมสมบูรณ์ ที่โอบล้อมคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลอัล ฟามิลไว้
อักษราภัคทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ขณะลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินตรงไปยังป้อมยาม และบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่าเธอคือใคร ต้องการมาพบกับใครในคฤหาสน์หลังนี้
“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นพยาบาลที่คุณมาคิลจ้างมาจากประเทศไทยค่ะ”
“ขอดูบัตรด้วย”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่ไม่ต่างจากยักษ์ปักหลั่น เอ่ยบอกเสียงห้วนๆ พร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้ารอรับบัตรจากอาคันตุกะสาว
“นี่ค่ะ เอกสารของฉัน”
อักษราภัครีบหยิบบัตรประจำตัวพยาบาล พร้อมกับหนังสือการว่าจ้างงาน ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งพอกระชากเอกสารไปจากมือถือของเธอได้แล้ว ก็กวาดสายตามองดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรแจ้งการมาถึงของเธอ ให้คนที่อยู่ภายในคฤหาสน์รับทราบ
“ร้อนชะมัด”
อักษราภัคบ่นงึมงำขณะรอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโทรเข้าไปแจ้งคนที่อยู่ภายในคฤหาสน์ หญิงสาวกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณ แค่เพียงรั้วกำแพงสูงลิบหัว หญิงสาวก็เห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์อัล ฟามิล
แค่เพียงด้านนอกคฤหาสน์ ยังดูงดงามและยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก หากเข้าไปภายในโอเอซิสแห่งนี้แล้ว อักษราภัคเชื่อว่าคงมีความงดงามอลังการรอเธออยู่อีกมาก
“คุณเข้าไปข้างในได้แล้ว เดินไปเรื่อยๆ ไม่กี่เมตรก็ถึงบ้านของเจ้านาย แล้วจะมีหญิงรับใช้พาคุณไปพบกับเจ้านายอีกที”
ความคิดของอักษราภัคต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะโกนบอกเสียงดัง พร้อมกับยื่นเอกสารกลับคืนให้เธอด้วย
“ขอบคุณมากๆ ค่ะ”
อักษราภัคยิ้มหวาน พยายามผูกมิตรด้วย แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งดูท่าว่าจะยิ้มไม่เป็น แยกเขี้ยวใส่แทน
พอประตูรั้วด้านหน้าถูกเปิดออกกว้าง ร่างบางระหงลากกระเป๋าเดินทางผ่านประตูรั้วเข้าไป อักษราภัคก็ต้องเบิกตากว้างกับอาณาจักรของมาคิล อัล ฟามิล
ทะเลสาบ สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล สวนหย่อม สนามกีฬาในร่ม มีพร้อมอยู่ภายในโอเอซิสแห่งนี้ ทว่า...อักษราภัคไม่ได้ตื่นเต้นไปกับสิ่งที่เห็น เพราะเธอกำลังเหน็ดเหนื่อยใจแทบขาด ทั้งหิวข้าว ทั้งกระหายน้ำ พึมพำก่นด่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่บอกเธอว่าเดินแค่ไม่กี่เมตรก็ถึงตัวคฤหาสน์แล้ว
จากจุดที่ยืนอยู่ อักษราภัคสามารถมองเห็นตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังอยู่ไกลลิบ หากให้คาดคะเนระยะทางแล้วคงไม่ต่ำว่าสามกิโลเมตรแน่ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว นาทีนี้หญิงสาวอยากได้น้ำเย็นๆ ดื่มดับกระหาย และอยากนอนแช่ตัวในน้ำอุ่นๆ ไล่อาการเมื่อยขบจากการนั่งเครื่องบินนานนับยี่สิบชั่วโมงออกไปจากตัวด้วย
เกือบสามสิบนาที อักษราภัคลากกระเป๋าเดินทางอันหนักอึ้งมาถึงด้านหน้าคฤหาสน์อัล ฟามิลได้ในที่สุด และทันทีที่เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์ ก็มีหญิงรับใช้มารับเธอแล้ว
“คุณอักษราภัค พยาบาลที่มาจากประเทศไทยใช่ไหมคะ”
“ค่ะใช่ค่ะ ดิฉันอักษราภัคค่ะ” อักษราภัคพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าอ่อนล้าเต็มที
“รออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปแจ้งให้คุณมาคิลทราบ ว่าคุณเดินทางมาถึงแล้ว”
โซยาเอ่ยบอกพยาบาลสาว ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปภายในคฤหาสน์
แค่เพียงได้ยินชื่อของมาคิล อักษราภัคก็เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นพราวเต็มหน้าผากมน
ทว่า...หาใช่เพราะความร้อนจากอากาศบนแผ่นดินทะเลทรายอันร้อนอบอ้าวไม่! แต่เป็นเพราะกำลังหวาดกลัวกับการต้องเผชิญหน้ากับมาคิล และหวาดหวั่นกับความเจ็บปวด ที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเปิดบาดแผลเก่าในหัวใจดวงน้อยให้เลือดซึม ทั้งสี่แห่งห้องของหัวใจ
ผ่านไปสี่ปีแล้ว มาคิลคงแต่งงานมีครอบครัว มีภรรยาที่งดงาม มีลูกน้อยน่ารักหล่อเหลาคมเข้มไม่แพ้ผู้เป็นพ่อคอยอยู่เคียงข้าง เธอจะทนได้หรือ หากต้องอยู่ร่วมชายคากับมาคิลและภรรยาของเขา เพื่อทำงานชิ้นสำคัญชิ้นนี้ กว่าเธอจะลอบเข้าไปขโมยเพชรสีฟ้าได้ เธอคงต้องทนเห็นภาพบาดตาบาดใจทุกวี่ทุกวัน และกว่าจะกลับประเทศไทยได้ หัวใจดวงน้อยคงแตกร้าวรานไม่ต่างจากธุลีผง
ทางด้านของโซยา หลังจากได้รับคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านายให้พาพยาบาลคนใหม่เข้าไปพบได้ ก็เดินกลับมาบอกอักษราภัคอีกครั้ง
“คุณอักษราภัค เข้าไปข้างในบ้านได้แล้วค่ะ”
โซยาเอ่ยบอกพยาบาลสาว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ พยาบาลคนนี้กำลังตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง ซึ่งโซยาคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะใบหน้างามเผยริ้วรอยของความเจ็บปวดให้เห็นอย่างชัดเจน
อักษราภัคกำลังตกอยู่ในความคิดของตนเอง จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงเรียกของโซยา
เมื่อการเอ่ยเรียกในครั้งแรกไม่ได้ผล คราวนี้โซยาจึงสะกิดลงไปบนบ่าเล็ก ขณะเอ่ยเรียกซ้ำอีกครั้ง
“คุณอักษราภัค เข้าไปพบคุณมาคิลได้แล้วค่ะ”
อักษราภัคสะดุ้งเฮือก กะพริบตาถี่ๆ หันไปมองโซยาอย่างงุนงง ขณะเอ่ยถามกลับคืนบ้าง “คะ?...คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
“ฉันบอกคุณว่า คุณมาคิลให้คุณเข้าไปพบได้แล้วค่ะ”
อักษราภัคพยักหน้ารับ แต่แทนที่จะก้าวเดินตามโซยาเข้าไปภายในคฤหาสน์ หญิงสาวกลับยืนนิ่งเฉยอยู่ที่เดิม อาการลังเลเล่นจู่โจมเข้าสู่หัวใจ ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพร้อมแล้วหรือ?...พร้อมสำหรับการเข้าไปเผชิญกับความเจ็บปวดที่รอเธออยู่ข้างหน้าหรือยัง
โซยาก้าวเดินไปหลายก้าวแล้ว พอรู้สึกว่าพยาบาลสาวไม่ได้เดินตามตนเองมา ก็หันมามองทางด้านหลัง พอเห็นอักษราภัคยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก็เอ่ยเรียกติดน้ำเสียงรำคาญ
“คุณพยาบาล คุณจะเข้าไปพบคุณมาคิลไหม เจ้านายรอคุณอยู่นานแล้ว อย่าให้เจ้านายต้องหงุดหงิด และอย่าให้คุณหนูลีน่าต้องโมโห ไม่ยังงั้นคุณจะเดือดร้อนได้ เข้าใจไหม”
“แค่ถูกบังคับให้เดินทางมาที่นี่ ฉันก็เดือดร้อนมากพออยู่แล้ว”
อักษราภัคพึมพำเบาๆ อยู่คนเดียว ฝืนยิ้มให้กับโซยา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง ก่อนจะลากเท้าอันหนักอึ้งเดินตามโซยาไปช้าๆ พร้อมกับสั่งตัวเองว่า ไม่ว่าจะพบเจอกับสิ่งใด จะเห็นภาพบาดตา ทำให้เลือดอาบหัวใจมากเพียงใด เธอต้องเข้มแข็ง จะไม่ปล่อยให้มาคิลทำร้ายหัวใจของเธอได้อีกครั้ง
‘เธอต้องทำได้ อักษรา เธอต้องทำได้ เธอต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด’
หญิงสาวพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจ ใบหน้างามที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ยิ่งขาวซีดไร้สีเลือด เมื่อก้าวเดินตามโซยาไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงห้องนั่งเล่น
และยิ่งเดินเข้าใกล้ห้องนั่งเล่น จนกระทั่งได้ยินเสียงห้าวทุ้มของมาคิล อักษราภัคก็รู้สึกราวกับกำลังเดินเข้าสู่หลักประหารก็ไม่ปาน อากาศรอบๆ ตัวเริ่มลดน้อยถอยลง ทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัดไปหมด
โซยาเดินนำหน้าเข้าไปในห้องนั่งเล่น จากนั้นก็พยักพเยิดให้อักษราภัคเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าผู้เป็นเจ้านาย พร้อมกับเอ่ยบอกเจ้านายหนุ่ม ให้รับรู้ถึงการมาถึงของพยาบาลสาว
“เจ้านายค่ะ นางพยาบาลมาแล้วค่ะ”
อักษราภัคลากเท้าเล็กอันหนักอึ้ง แทบก้าวเดินไม่ออกมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามาคิล หญิงสาวรู้สึกถึงอาการสะดุดลมหายใจ เมื่อเห็นมาคิลนั่งอยู่กับเด็กน้อยน่ารักวัยสดใส