บทย่อ
อักษราภัคต้องขโมยบลูไดมอน อัญมณีที่มีมูลค่ามหาศาลจากมาคิล ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ห้าของตระกูลอัล ฟามิล โดยมีชีวิตของน้องสาวเป็นตัวเดิมพันสำหรับการโจรกรรมในครั้งนี้อักษราภัคจะขโมยบลูไดมอนมาได้อย่างไร ในเมื่อมาคิลฉลาดเป็นกรดรู้เท่าทันทุกอย่าง แถมยังขุดหลุมพรางไว้ดักล่อนางโจรให้ติดบ่วงแร้วของเขาด้วยเพลิงพิศวาสอันเร่าร้อนดั่งไฟโลกันต์!!!
บทที่ 1
เครื่องบินโบอิ้ง 787 ของสายการบินชื่อดังของประเทศไทย กำลังจะ เทคออฟ (Take off) ทะยานสู่ท้องฟ้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้โดยสารทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กเล็ก ที่กำลังจะเดินทางสู่แผ่นดินทะเลทรายของรัฐอัลคารา ซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทวีปตะวันออกกลาง เป็นรัฐที่มีน้ำมันเป็นสินค้าหลักสร้างรายได้ให้กับผู้คนทั่วทั้งรัฐ นอกจากน้ำมันแล้ว รัฐอัลคารายังมีชื่อเสียงเรื่องการส่งออกผลไม้พื้นเมืองชั้นเลิศไปขายทั่วโลกด้วย
แน่นอนว่า เมื่อมีสายแร่น้ำมันเป็นสินค้าหลัก รัฐอัลคาราจึงเป็นรัฐที่มั่งคั่งไปด้วยมหาเศรษฐีนับสิบๆ คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินทะเลทรายผืนนี้
ก่อนแอร์โฮสเตสจะขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด บรรดาผู้โดยสารทั้งชาย และหญิง ทั้งที่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติ ทั้งที่เดินทางคนเดียว เป็นหมู่คณะ หรือเป็นแบบครอบครัว ต่างก็หยิบเครื่องมือสื่อสารที่สามารถบันทึกภาพได้ รวมทั้งกล้องถ่ายภาพ มากดรัวบันทึกเวลาดีๆ เก็บความทรงจำในการเดินทางไปยังแผ่นดินทะเลทรายผืนนี้ไว้กันอย่างสนุกสนาน แต่ละคนดูตื่นเต้นกับการได้ไปเยือนแผ่นดินทะเลทรายที่อาบไปด้วยลำแสงสีทองของดวงสุริยาในยามอัสดง
ยกเว้น! หญิงสาวที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของที่นั่งในชั้นประหยัด ซึ่งไม่ได้ตื่นเต้น หยิบโทรศัพท์ออกมาบันทึกภาพเหมือนกับผู้โดยสารคนอื่นๆ
อักษราภัค เอนศีรษะพิงกับผนังอันเย็นเฉียบของเครื่องบินลำใหญ่ยักษ์ ใบหน้านวลงามเต็มไปด้วยริ้วรอยของความหมองเศร้า ดวงตากลมโตแห้งผาก ขณะทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างเครื่องบินอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนต้องจัดกระเป๋าอย่างเร่งด่วน ระหกระเหินขึ้นมานั่งอยู่บนเครื่องบินลำนี้ เพื่อเดินทางไปยังรัฐอัลคารา แผ่นดินทะเลทรายที่อยู่ไกลจากประเทศไทยเป็นพันไมล์ ต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเลรวมยี่สิบชั่วโมง กว่าจะไปถึงรัฐแห่งนี้ได้
เครื่องบินโบอิ้ง 787เทคออฟค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว แต่อักษราภัคยังคงเอนศีรษะซบในอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเป็นดั่งรูปปั้นที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง
ทว่า...อักษราภัคเป็นหุ่นปั้น ที่มีชีวิตจิตใจ และมีความรู้สึกเจ็บปวด...เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ และหากเป็นไปได้ เธออยากย้อนเวลากลับไป...ย้อนไปเมื่อยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา ขอให้คนเป็นแม่ ซึ่งไม่อยากให้เธอลืมตาดูโลก ได้ ‘ฆ่า’ เธอกับน้องสาวฝาแฝดทิ้งตั้งแต่อยู่ในท้องซะ! อย่าให้เธอกับน้องต้องเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือของคนที่เรียกว่าพ่อ! ซึ่งเป็นคนออกคำสั่งให้เธอต้องเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
‘อักษรา ตามพ่อเข้าไปในห้องทำงานด้วย’
น้ำเสียงห้วนดุของผู้เป็นบิดา กอปรกับดวงตาที่จ้องมองเขม็งขณะเค้นออกคำสั่ง ไม่อาจทำให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อปฏิเสธความต้องการของผู้เป็นบิดาได้
‘ค่ะคุณพ่อ’
อักษราภัคเพิ่งออกเวรกะดึก และกลับมาถึงบ้านไม่ทันได้นั่งลง แม้เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการทำงานมากเพียงใด หญิงสาวก็จำต้องเดินตามบิดาเข้าไปในห้องทำงาน
‘นั่งลงสิ อักษรา เราต้องคุยกันยาว’
ชัยพงศ์เหลือบสายตามองลูกสาวที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ซึ่งเป็นชุดนางพยาบาลสีขาวสะอาด เขาไม่สนใจว่าอักษราภัคจะเหน็ดเหนื่อย แลดูอิดโรยมากเพียงใด เพราะหากต้องการสิ่งใดแล้ว บุตรสาวผู้นี้ต้องทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง
‘คุณพ่อมีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ’
อักษราภัคเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ขณะทรุดตัวลงนั่ง แล้วก็ต้องสะอึกนิ่งเงียบในทันที เมื่อถูกผู้เป็นบิดาตะคอกตอบเสียงดัง
‘มีสิ! ถ้าไม่มีธุระสำคัญ ฉันจะตื่นมารอแกทำไมตั้งแต่ไก่โห่’
อักษราภัคเหลือบสายตามองเวลาบนนาฬิกาติดกับผนังห้อง เข็มนาฬิกาเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงเลขเก้าแล้ว แต่บิดาของเธอยังพูดเปรียบเทียบเวลาว่าไก่โห่ แต่ก็นั่นสินะ การตื่นนอนในเวลาเก้าโมงเช้า สำหรับคนที่นอนตื่นบ่ายสองโมงอย่างบิดาของเธอ ถือว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก
และการที่บิดาของเธอยอมอดหลับอดนอน ตื่นตั้งแต่เช้ามาดักรอเช่นนี้ แสดงว่ามีเรื่องสำคัญมากๆ ที่จะ ‘สั่ง’ ให้เธอลงมือทำเหมือนเช่นดั่งที่ผ่านมา
‘คุณพ่อจะให้อักษราทำอะไรคะ’ ด้วยรู้ดีอยู่แล้วว่ามีงานสำคัญรอตนเองอยู่ กระนั้นอักษราภัคก็ยังคงเอ่ยถามออกไป
ชัยพงศ์ไม่ตอบคำถามของบุตรสาว เขาเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะทำงาน หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลโยนลงมาบนโต๊ะทำงาน ก่อให้เกิดเสียงดังทำลายความเงียบในห้อง เล่นเอาอักษราภัคสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
‘งานชิ้นใหม่ของแก อยู่ในซองเอกสารทั้งหมด’
อักษณาภัคลอบถอนหายใจลึก หลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง อยากปัดคำว่า ‘งาน’ ทิ้งออกไปจากชีวิต แต่เมื่อไม่อาจทำได้ จึงจำต้องหยิบซองเอกสารมาถือไว้ และเมื่อเกิดอาการลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็มีน้ำเสียงห้วนๆ ของผู้เป็นบิดาเค้นสั่งให้หยิบงานออกมาดู
‘หยิบออกมา อักษรา นี่คืองานชิ้นสำคัญของแก’
‘แล้วเป็นงานชิ้นสุดท้ายด้วยไหมคะ’ อักษราภัคถามสวนกลับในทันที ทว่าคำตอบที่ได้รับ ไม่อาจเรียกรอยยิ้มให้กับเธอได้
‘มันอาจจะเป็นงานชิ้นสุดท้าย ถ้าแกทำให้ฉันพอใจ’
‘แล้วถ้า ‘ไม่’ ล่ะคุณพ่อ’
‘ไม่มีคำว่า ‘ไม่’ สำหรับงานนี้ เพราะแกจะต้องทำงานให้สำเร็จเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา’
ชัยพงศ์ย้ำคำเสียงหนัก ดวงตาแหลมเล็กจ้องมองบุตรสาวเขม็ง บอกให้รู้ว่าจะมีคำว่าผิดพลาดเกิดขึ้นในงานนี้ไม่ได้
‘เอางานออกมาดูได้แล้ว อักษรา’
ผู้เป็นบิดาออกคำสั่งเสียงห้วนอีกครั้ง เมื่ออักษราภัคเอาแต่นั่งนิ่งเฉย ไม่ยอมทำตามคำสั่งในก่อนหน้านี้สักที
เมื่อไม่มีทางเลี่ยง ไม่อาจหลบหนีคำสั่งของบิดาได้ อักษราภัคจำต้องหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาเปิดดูงานที่ถูกเตรียมไว้ให้เธอ
และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า หลังจากดึงออกมาจากซองเอกสารแล้ว ทำเอาอักษราภัคต้องถอนหายใจลึกด้วยความเบื่อหน่ายกับความโลภ ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดของผู้ที่ตนเองเรียกว่า ‘พ่อ’
‘เพชรสีฟ้า!’
อักษราภัคเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้ตื่นเต้นกับความงดงามเล่นประกายไฟของเพชรสีฟ้าเม็ดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่ามีมูลค่าไม่ต่ำว่าร้อยล้านที่อยู่ตรงหน้าเธอ นั่นก็เป็นเพราะว่า ‘งาน’ ของเธอคือการไปโจรกรรมเพชรเม็ดนี้มาให้กับผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ชัยพงศุ์กระตุกยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภ หิวกระหายในการได้ครอบครองเพชรสีฟ้า เพชรล้ำค่าเม็ดใหญ่เม็ดนี้
‘ทำไมต้องให้อักษราไปขโมยเพชรเม็ดนี้ด้วยคะ ในเซฟของคุณพ่อ อักษราเห็นมีเพชรสีฟ้าตั้งมากมาย นับรวมๆ กันแล้วก็เกือบยี่สิบเม็ดแล้วนะคะ’
อักษราภัคเต็มไปด้วยความสงสัย ที่ผู้เป็นบิดาอยากได้เพชรสีฟ้าเม็ดนี้ ใช่ว่าผู้เป็นบิดาจะไม่มีเพชรสีนี้อยู่ในกำมือ อัญมณีตามราศีเกิดทั้งสิบสองราศี ชัยพงศ์มีไว้ในครอบครองทุกสี เพชรเม็ดใหญ่ๆ เกือบเท่าก้อนกรอด ชัยพงศ์ก็มีไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อย ซึ่งแน่นอนว่าอัญมณีเหล่านี้ซื้อหามาอย่างถูกต้องตามกฏหมายบ้าง และได้จากการลักขโมยมาบ้าง ซึ่งมือขโมยก็คือตัวหเธอนั่นเอง
‘แกไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล ว่าทำไมฉันถึงอยากได้เพชรสีฟ้าเม็ดนี้ แกมีหน้าที่ไปขโมยมันมาให้ฉันก็เท่านั้น และต้องขโมยมาให้ได้ด้วย’
‘จากใครคะ อักษราต้องไปขโมยมาจากใคร’
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น เมื่อถูกบังคับให้ทำหน้าที่นางโจรครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบนับครั้งไม่ถ้วน
‘เปิดดูภาพต่อไปสิ อักษรา แล้วแกจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเพชรสีฟ้าเม็ดนี้’
อักษราภัคทำตามคำพูดของบิดาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นภาพใบหน้าอันหล่อเหลาคมเข้มของบุรุษหนุ่มที่เธอไม่เคยลืมเลยชั่วชีวิต ก็ถึงกับเบิกตากว้าง กัดเม้มริมฝีปากไว้แน่น มือเล็กสั่นเทา แทบทำภาพในมือหลุดลงพื้น
‘เขา...เขาคือเจ้าของเพชรสีฟ้า’
อักษราภัคเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ ขณะเอ่ยถามออกไป ดวงตากลมโตคู่สวยจับจ้องมองภาพของบุรุษหนุ่มคนดั่งกล่าวราวกับไม่เคยเห็น ถ้อยคำบางคำที่บุรุษแห่งแผ่นดินทะเลทรายเคยลั่นวาจาไว้กับเธอ ยังฝั่งลึกอยู่ในหัวใจดวงน้อย แม้ว่าวันเวลาจะผันผ่านมานานถึงสี่ปีแล้ว ทว่าเธอยังจดจำถ้อยคำนั้นได้เป็นอย่างดี
ชัยพงศ์แสยะยิ้มเย็น ขณะจ้องมองท่าทีของบุตรสาว ซึ่งเอาแต่ก้มหน้านิ่งมองภาพของชายหนุ่มที่ร่ำรวยมหาศาลติดอันดับโลก แถมยังความหล่อเหลาคมเข้ม ทำให้อิสตรีทั้งหลายหัวใจละลายมานักต่อนัก รวมทั้งคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ด้วย
‘ใช่ เขาคือเจ้าของเพชรสีฟ้า’
‘คุณพ่อจะให้อักษราไปขโมยเพชรสีฟ้ามาจาก มา...’
ชื่อของบุรุษแห่งแผ่นดินทะเลทราย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของหัวใจของเธอ และยังคงเป็นอยู่เช่นเดิมมิมีเสื่อมคลาย ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ ใบหน้างามก้มหน้าลง เพื่อซุกซ่อนริ้วรอยขิงความเจ็บปวดไม่ให้บิดาได้เห็น และนั่นก็ทำให้เธอ ไม่มีโอกาสเห็นการแสยะยิ้มจ้องมองอย่างสมเพชจากผู้เป็นบิดา
‘ถูกต้องแล้ว อักษรา พ่อต้องการให้แกไปขโมยเพชรสีฟ้ามาจากเขา’
‘อักษราไม่รับทำงานนี้ค่ะ’
ให้เธอตายซะยังดีกว่าต้องไปเผชิญหน้ากับเจ้าของนัยน์ตาคมกริบสีนิล ที่จ้องมองเธอด้วยแววชิงชังระคนเคียดแค้นในครั้งสุดท้ายที่พบเจอกัน ก่อนเขาจะเผ่นแนบกลับไปยังแผ่นดินทะเลทรายแทบไม่ทัน
ชัยพงศ์แสยะยิ้ม ขณะมองตามร่างบางระหงที่ผุดขึ้นยืนทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่อักษราภัคก้าวเดินได้ไม่ไกล ก็มีอันต้องหยุดชะงัก กับคำพูดอันเย็นชาของเขา
‘บุญคุณ แกรู้จักคำนี้ไหม อักษราภัค’
อักษราภัคกัดเม้มริมฝีปากจนแทบเป็นเส้นตรง มือเล็กกำเข้าหากันแน่น ทำไมเธอจะไม่รู้จักคำๆ นี้ เพราะคำว่าบุญคุณที่ค้ำคออยู่ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เธอต้องเป็นนางโจรในคราบของนางพยาบาลผู้แสนดี
‘ที่ผ่านๆ มา อักษราทำงานชดใช้หนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงยังไม่หมดอีกหรือคะ เมื่อไรจะให้อักษราหยุดทำงานพวกนี้สักที”
อักษราภัคเอ่ยถามเสียงสั่นติดขมขื่น โดยไม่ได้หันไปมองหน้าบิดา หญิงสาวไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ช่วยปลดปล่อยเธอให้หลุดพ้นจากความผิด จากความเลวเหล่านี้ ซึ่งเป็นความเลวที่เธอไม่ตั้งใจก่อให้เกิดขึ้นในชีวิตแม้แต่นิดเดียว
ชัยพงศ์ยิ้มเยาะตรงมุมปาก เอ่ยตอบให้อักษราภัคต้องลอบถอนสะอื้น
‘คำว่า ‘หยุด’ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับชีวิตของแก...แกจะต้องทำงานให้ฉันตลอดไป เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณที่ฉันอุตส่าห์ชุบเลี้ยงพวกแกมา’
‘แต่บุญคุณมันต้องมีวันหมดสิ้นในสักวัน...’
อักษราภัคค้านเสียงแผ่วเบา ทุกข์ระทมกับชีวิตอันน่าอดสูของตนเองจนหยาดน้ำตารื้นขอบตา และหากไม่กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ออกไป หยาดน้ำตาอุ่นคงหลั่งรินออกมาให้ผู้เป็นบิดาเยาะหยันอีกครั้ง
ชัยพงศ์จ้องมองอักษราภัคเขม็ง ไม่มีแววแห่งรักของความเป็นพ่อมอบให้กับบุตรสาวผู้นี้
‘บุญคุณที่ฉันอุตส่าห์ชุบเลี้ยงแกอย่างดิบดี ให้กินดีอยู่ดี แถมยังส่งให้เรียนในโรงเรียนพยาบาล ให้แกมีอาชีพทำเลี้ยงตัว มันไม่มีวันหมดสิ้นอย่างแน่นอน’
‘แต่ที่ผ่านๆ มา อักษราก็ทำงานให้คุณพ่อมามากแล้วนะคะ สิ่งที่คุณพ่อได้รับจากการทำงานของอักษรา มันควรทดแทนบุญคุณที่เลี้ยงอักษรากับน้องได้บ้าง’
‘นั่นมันเป็นการทดแทนบุญคุณของแกแค่เพียงคนเดียว ยังเหลือการทดแทนบุญคุณจากการชุบเลี้ยงชีวิตของน้องสาวแกด้วย’
ชัยพงศ์หยุดพูดไปชั่วขณะ ไม่มีความสงสารมอบให้กับอักษราภัค เมื่อเค้นเสียงตอกย้ำให้บุตรสาวสำนึกถึงบุญหคุณอันใหญ่หลวงที่เขามอบให้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ถูกทิ้งไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งสองคนนี้