บทที่ 3
คฤหาสน์อัล ฟามิล ซึ่งเป็นคฤหาสน์เก่าแก่ ตกทอดจากรุ่นปู่มาสู่รุ่นลูกหลายรุ่นด้วยกัน และทายาทอภิมหาเศรษฐีของตระกูล อัล ฟามิล คนปัจจุบันที่ครอบครองคฤหาสน์หลังนี้คือ มาคิล อัล ฟามิล บุรุษหนุ่มแห่งดินแดนทะเลทราย ที่มีนัยน์ตาสีนิลคมกริบไม่ต่างจากดวงตาของพญาเหยี่ยว
คฤหาสน์อัล ฟามิล เป็นต้องตาต้องใจของเหล่าดาราฮอลลีวูดชื่อดัง รวมทั้งประมุขผู้ปกครองรัฐอัลคาราด้วย คนเหล่านี้พยายามใช้เงินหลายร้อยล้านยูโร เพื่อขอซื้อคฤหาสน์อัล ฟามิล ไปไว้ในครอบครอง
เพราะนอกจากความใหญ่โต ออกแบบ และสร้างด้วยสถาปนิกชื่อดังจากอเมริกา ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพงทรงคุณค่าแล้ว คฤหาสน์หลังนี้ยังตั้งอยู่กลางโอเอซิส ซึ่งเป็นโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุด และเป็นโอเอซิสแห่งเดียวในรัฐอัลคาราด้วย
ภายในโอเอซิสแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เพียงบ่อน้ำกลางทะเลทรายเท่านั้น แต่โอเอซิสซึ่งเป็นมรดกของตระกูลอัล ฟามิล มีสิ่งอำนวยความสะดวก สร้างความบันเทิงพร้อมทุกอย่าง ทั้งสนามฟุตบอล สระว่ายน้ำกลางแจ้ง แม้กระทั่งลานจอดเครื่องบินเจ็ท ก็มีอยู่ภายในโอเอซิสแห่งนี้
ความเพียบพร้อมทุกอย่างที่มีอยู่ภายในแผ่นดินผืนนี้ ทำให้ดาราบางคนยอมทุ่มเงินไม่อั้น เพื่อซื้อสวรรค์บนแผ่นดินทะเลทรายมาครอบครอง
แต่! มาคิล อัล ฟามิล กลับไม่ขาย! ชายหนุ่มมีทรัพย์สินทั้งอสังหาริมทรัพย์ และเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคารในรัฐอัลคารา สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอังกฤษ เรียกว่ามีทรัพย์สินมากมายเหลือใช้ จนไม่จำเป็นต้องขายสมบัติของตระกูล
มาคิล ทายาทรุ่นที่ห้าของตระกูล อัล ฟามิล มีทุกอย่างเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือผู้หญิงที่คอยบำเรอความสุขให้กับเขา แต่สิ่งที่มาคิลไม่เคยมีเลยนั่นก็คือหัวใจ! เพราะหัวใจของเขา ถูกผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่เขากล้าเอื้อนวาจาบอกรัก และขอเธอแต่งงานด้วย ทำลายเหยียบย่ำจนแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี!
นอกจากหัวใจอันแข็งแกร่ง ซึ่งถูกทำลายไปจากตัวเขาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มาคิลไม่เคยมีเลยคือความสงบเงียบภายในคฤหาสน์อัล ฟามิล เพราะตั้งแต่อัซลีน่าหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ต้องกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้ หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พร้อมๆ กับบิดา มารดาของเธอ มาคิลก็แทบเป็นคนบ้า เพราะนอกจากเขาต้องสูญเสียน้องชายและน้องสะใภ้ไปพร้อมๆ กันแล้ว เขายังสูญเสียหลานสาวคนเดิมไปด้วย
จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส อัซลีน่ากลายเป็นคนโมโหร้าย เมื่อรู้ว่าอุบัติเหตุในครั้งนั้น อาจทำให้เธอเดินไม่ได้ไปตลอดทั้งชีวิต
โครม!
เพล้ง!
เสียงแก้วน้ำ จานข้าว และทุกอย่างที่ขวางข้างหน้า ถูกทุ่มลงกับพื้นห้องอาหารแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ตามด้วยเสียงร้องกรี๊ดโวยวายของคนที่นั่งอยู่บนรถวิลแชร์
“กรี๊ดดด!!! ใครบอกให้แกทำอาหารพวกนี้ให้ฉันกิน มันมีแต่แป้ง มีแต่ไขมัน ใส่น้ำตาลจนหวานเยิ้ม มันจะทำให้ฉันอ้วนจนเดินไม่ได้...ได้ยินไหม”
อัซลีน่าเด็กน้อยในวัยสิบขวบหวีดเสียงร้องกรี๊ด ชี้นิ้วด่าคนรับใช้ อาละวาดไม่เลือกหน้า พอคนรับใช้เข้ามาใกล้ หมายจะเก็บถ้วยชามที่ตกแตกกระจายเต็มพื้น ก็คว้าแก้วน้ำส้มที่อยู่บนโต๊ะอาหารราดลงไปบนตัวของคนรับใช้จนหมดแก้ว ก่อนจะขว้างแก้วเปล่าทิ้งลงพื้นอีกครั้ง
“นี่แนะ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาอาหารขยะมาให้ฉันกิน”
โซยา หญิงรับใช้ผู้ซื่อสัตย์คอยรองมือรองเท้าของอัซลีน่ามานาน ยกมือปาดน้ำส้มเหนียวเหนอะหนะออกจากใบหน้าของตนเอง ขณะเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถามปนเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณหนู ทำไมทำกับโซยาแบบนี้คะ”
“หยุดถาม! หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้”
เพียะ!
อัซลีน่าตะคอกสั่ง พร้อมกับซัดมือเล็กลงไปบนใบหน้าของโซยา แม้จะถูกตบด้วยมือเล็กๆ ของเด็กสาวในวัยสิบขวบ ทว่าการถูกตบแรง ฝ่ามือเล็กซัดเข้าเต็มๆ ใบหน้า ส่งให้โซยาถึงกับใบหน้าหันไปตามแรงตบ มีรอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอในทันที
“คุณหนู ทำร้ายโซยาทำไมคะ” โซยาถามเสียงสั่นเครือ ยกมือกุมใบหน้าของตัวเองไว้ด้วย
“ฉันบอกให้แกหยุดถาม!”
อัซลีน่าเงื้อมมือขึ้น ทำท่าจะตบซ้ำลงไปบนใบหน้าของโซยาอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องชะงักอยู่กลางอากาศ เมื่อมีเสียงทรงอำนาจสั่งห้ามห้วนดุดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
“อัซลีน่า! หยุดเดี๋ยวนี้”
หนูน้อยอัซลีน่าทิ้งมือลงบนตักตนเองอย่างกระแทกกระทั้น กัดเม้มริมฝีปากแน่น ชักสีหน้าขัดเคืองที่ถูกผู้เป็นลุงตะโกนห้ามไม่ให้ตนเองระบายความโกรธลงไปบนตัวหญิงรับใช้ผู้นี้
“อัซลีน่า! หันมามองหน้าลุง”
มาคิลออกคำสั่งเสียงดุ เมื่อหลานสาวยังคงนั่งหันหลังให้กับตนเอง พออัซลีน่าทำตามคำสั่งด้วยการหมุนเก้าอี้วิลแชร์หันมามองสบตา ก็ต้องลอบถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เมื่อเห็นใบหน้าเล็กนองไปด้วยหยาดน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นโยน
“ทำไม...คุณลุง...ต้องดุลีน่าด้วยคะ”
อัซลีน่าถามเสียงปนสะอื้น ทำเอามาคิลถึงกับลืมคำพูดที่เตรียมจะตำหนิหลานสาวคนนี้
มาคิลกวาดสายตามองไปยังพื้นห้องครัว ซึ่งมีเศษแก้ว เศษถ้วยชามแตกกระจาย ก่อนจะเงยหน้ามองโซยาที่มีสภาพดูไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการอาละวาดของอัซลีน่า ที่อาละวาดใส่โซยาในครั้งนี้ นอกจากผมเผ้าเลอะไปด้วยคราบน้ำส้มแล้ว ใบหน้าของหญิงรับใช้ยังปรากฏรอยนิ้วมือให้เห็นด้วย
“ไปคุยกันในห้องนั่งเล่นดีไหม ลีน่า”
มาคิลเดินไปทางด้านหลัง เอื้อมมือไปจับรถเข็น ก่อนจะเข็นรถออกจากห้องอาหารตรงไปยังห้องนั่งเล่น เพื่อให้โซยาได้ทำความสะอาดห้องอาหารด้วย
เมื่อเข็นรถของหลานสาวมาถึงห้องนั่งเล่นแล้ว มาคิลก็อุ้มร่างของหนูน้อยให้นั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็เริ่มตำหนิถึงการกระทำที่ผ่านมาของหลานสาว
“ลีน่า หนูรู้ใช่ไหมว่าหนูทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย”
“ค่ะ...คุณลุง”
อัซลีน่าพยักหน้ารับคำเสียงแผ่วเบา เธอกล้าอาละวาดใส่ทุกคน ยกเว้นกับผู้เป็นลุง ซึ่งเธอเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง และไม่กล้าขัดใจผู้เป็นลุงแม้แต่นิดเดียว
มาคิลเห็นใบหน้าเศร้าๆ ของหลานสาวแล้วก็แทบดุไม่ลง แต่กระนั้นก็จำต้องตำหนิว่ากล่าวถึงการกระทำของอัซลีน่าบ้าง
“โซยา เธอพยายามทำอาหารที่มีประโยชน์มาให้ลีน่าทาน ทำไมลีน่าไม่ทานอาหารพวกนั้นล่ะครับ”
“แต่อาหารที่โซยาทำมาให้ มันมีแต่แป้งกับน้ำตาลนะคะคุณลุง” อัซลีน่าเถียงกลับ อย่างเด็กที่เอาแต่ใจตนเป็นใหญ่
“ลุงเป็นคนสั่งให้โซยาทำอาหารพวกนั้นให้ลีน่าเอง และเท่าที่ลุงเห็น โซยาพยายามเลือกแต่อาหารดีๆ มาปรุงให้ลีน่าทาน ซึ่งมีทั้งผัก ผลไม้สดสะอาด และนมแคลเซียมสูง ที่จะช่วยให้ลีน่าแข็งแรงมากขึ้น”
“แต่ลีน่าไม่อยากกินพวกแป้ง มันจะทำให้ลีน่าอ้วน และเดิน...เดินไม่ได้...เหมือนตอนนี้...”
น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นเครือ ก่อนหนูน้อยจะร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นเสียงดัง เมื่อหลุบสายตามองต้นขาของตนเอง และมองรถวิลแชร์ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“คุณลุงคะ ลีน่า...อยากเดินได้อีกครั้ง”
มาคิลโอบร่างเล็กของหลานสาวมาสวมกอดไว้ รู้ว่าอัซลีน่าทำใจไม่ได้ ที่จู่ๆ ก็ต้องกลายมาเป็นคนพิการ ต้องใช้รถวิลแชร์เพื่อเดินเหิน แทนการใช้ต้นขาเหมือนเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“ลุงรู้ว่ามันทรมาน และเจ็บปวดที่ต้องมานั่งบนรถคันนี้”
“ลีน่าอยากเดิน อยากวิ่งได้เหมือนเดิม คุณลุงช่วยลีน่าด้วยนะคะ”
อัซลีน่าร้องไห้หนักกว่าเดิม การสูญเสียการทรงตัวจนไม่อาจเดินได้ หลังจากประสบอุบัติเหตุในครั้งนั้น ส่งผลให้เด็กน้อยกลายเป็นคนละคน จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส ตอนนี้ก็กลายเป็นคนโมโหร้าย ใครๆ ก็เข้าหน้าไม่ติดแม้แต่คนเดียว
“ลีน่าอิจฉา...อิจฉาคุณลุง อิจฉาพวกคนใช้ อิจฉาทุกๆ คนที่เดินได้ วิ่งได้ ลีน่าคงไม่มีโอกาสเดินได้อีกแล้วใช่ไหมคะคุณลุง”
“ลีน่า ฟังลุงนะครับ”
มาคิลจับร่างเล็กของหลานสาวให้มองหน้าสบตากัน พยายามเอ่ยปลอบให้เด็กน้อยอยู่ในอาการสงบ ก่อนจะหว่านล้อมหลานสาวต่อ
“ลุงไม่อยากให้ลีน่าอิจฉาคนอื่น ลุงอยากให้ลีน่าเชื่อฟังคำพูดของลุง หากลีน่าอยากเดินได้ ลีน่าต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่โซยาปรุงมาให้ทาน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ล้มป่วยซ้ำไปอีก คุณหมอบอกลุงว่าลีน่ายังมีความ
หวัง ยังสามารถเดินได้ แต่ต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดที่ถูกต้อง และตอนนี้ลุงได้จ้างนักกายภาพบำบัดที่เก่งที่สุดให้มาดูแลลีน่าแล้ว”
“ไม่เอา ลีน่าไม่ต้องการพยาบาลพวกนั้น” อัซลีน่าปฏิเสธเสียงดัง เอ่ยบอกผู้เป็นลุงต่อด้วยความโกรธ
“นางพยาบาลที่คุณลุงจ้างมา ไม่มีใครตั้งใจรักษาลีน่าสักคน ทั้งพวกพยาบาลแก่ๆ และพยาบาลสาว ต่างก็จ้องจะจับคุณลุงทำเป็นผัว!”
“ลีน่า!” มาคิลเค้นเสียงเรียกลอดไรฟัน ดุหลานสาวทั้งสีหน้าและวาจา “ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีก ลีน่าชักจะพูดหยาบคายขึ้นทุกวันแล้ว รู้ไหม”
เค้นเสียงดุหลานสาวไปแล้ว มาคิลก็ต้องถอนหายใจยาว เพราะมันเป็นจริงดั่งที่อัซลีน่าพูดออกมา
หลังจากอัซลีน่ากลับมาพักฟื้นในบ้าน เขาได้ติดต่อว่าจ้างพยาบาล รวมทั้งนักกายภาพบำบัดเกือบยี่สิบคน ให้มาดูแลรักษาอัซลีน่า แต่พยาบาลเหล่านี้ไม่ได้สนใจคนไข้แม้แต่นิดเดียว พวกเธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อจับมหาเศรษฐีอย่างเขาให้ได้
แต่นางพยาบาลเหล่านั้นอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้ไม่เกินสองวัน หากไม่ถูกเขาไล่ออกซะก่อน ก็ถูกอัซลีน่าแผลงฤทธิ์อาละวาดใส่ เล่นงานพวกเธอจนหนีออกจากบ้านแทบไม่ทัน
“ลีน่า...ขอโทษค่ะ...คุณลุง”
อัซลีน่าขอโทษเสียงแผ่วเบา น้ำตาอุ่นใสไหลลงเป็นทางยาวจากดวงตาเล็กทั้งคู่ ขณะเอ่ยพูดต่อว่า
“แต่ลีน่าพูดจริงๆ นะคะคุณลุง พยาบาลพวกนั้นไม่ได้ตั้งใจรักษาลีน่าเลย”
“เอาเถอะลีน่า ลืมนางพยาบาลพวกนั้นซะ ตอนนี้ลุงจ้างนางพยาบาลคนใหม่ให้มาดูแลลีน่าแล้ว และเธอจะเดินทางมาถึงในวันนี้ด้วยครับ”
“ลีน่าไม่ต้องการนางพยาบาล ลีน่าขอร้องนะคะ คุณลุงเลิกจ้างพวกเธอเถอะค่ะ” อัซลีน่าวิงวอนผู้เป็นลุงพร้อมกับสะอื้นร้องไห้จนร่างเล็กสั่นโยน
มาคิลส่ายหน้าปฏิเสธ ย้ำคำพูดเดิมอีกครั้ง “ไม่ได้หรอกลีน่า ลุงทำตามคำขอร้องของลีน่าไม่ได้ ลุงอยากให้ลีน่ากลับมาเดินได้อีกครั้ง นักกายภาพบำบัดคนนี้ จะช่วยลีน่าให้กลับมาเดิน และวิ่งได้อีกครั้งนะครับ”
อัซลีน่าก้มลงมองต้นขาตนเอง ยกมือปาดน้ำตาออกจากแก้มขาวซีด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นลุง แล้วเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจว่า
“พยาบาลคนนี้จะช่วยให้ลีน่าเดินได้อีกครั้งจริงๆ หรือคะคุณลุง”
“ลุงรับปากลีน่ายังไม่ได้”
คำตอบของมาคิลทำเอาอัซลีน่าถึงกับหน้าถอดสีซีด แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“ลีน่าจะเดินได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือของลีน่าด้วย ลีน่าต้องทำตามที่พยาบาลแนะนำทุกอย่างเข้าใจไหมครับ”