ตอนที่ 15 จัดการจูเหลียง
“ท่านแม่ เจ้าเจีย อ้ายหนี่มากินข้าวกันก่อนเถิด มัวแต่ดื่มชาเดี๋ยวจะอิ่มกันพอดี”เวยลี่เรียกทุกคน
“พี่สะใภ้ข้าเก็บดอกไม้สีแดงจากข้างทางมาให้ท่านด้วย ท่านว่ามันกินได้หรือไม่”
“ดอกไม้สีแดงรึ ไหนพี่ขอดูหน่อย”เวยลี่เดินไปดูดอกไม้สีแดงที่เจ้าเจียเก็บมาก็พบว่ามันคือดอกกระเจี๊ยบนั่นเอง
“มันกินได้ไหมพี่สะใภ้”เจ้าเจียถามด้วยความตื่นเต้น
“ได้สิ พี่สะใภ้จะไปทำให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะนำมาต้มเป็นน้ำกระเจี๊ยบให้พวกเจ้าดื่ม”
“เย้ๆๆ อร่อยไหมเจ้าคะ” อ้ายหนี่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“อร่อยสิ พี่รับรองเลย” เวยลี่ยิ้มอย่างสดใสให้พวกเด็กๆก่อนจะพากันไปรับประทานมื้อกลางวัน
หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยกันล้างดอกกระเจี๊ยบที่เก็บมาได้ นำไปคั่วในกระทะแล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งทำเป็นชาดอกกระเจี๊ยบ
เวยลี่ล้างกระปุกแก้วที่มีฝาปิดเตรียมเอาไว้เพื่อใส่ จานชามต่างๆที่บ้านหลี่ยังมีน้อยชิ้นอยู่ คงต้องค่อยๆทยอยซื้อเพิ่ม
“ท่านแม่ในหมู่บ้านเราไม่มีร้านขายเตาและกระทะต้องไปสั่งทำร้านในตัวตำบลเหรอเจ้าคะ”
“แม่ฝากป้าใหญ่จัดการให้แล้วแม่สั่งกระทะเพิ่มไปให้เจ้าด้วย เดี๋ยวคงจะได้รับของเย็นวันนี้”
“เร็วเช่นนั้นเลยหรือเจ้าคะ”เวยลี่ตกใจระคนดีใจที่จะได้มีเตาใหม่และกระทะใหม่ช่วยทำให้ย่างแป้งได้เร็วขึ้น
“ใช่ เตานั้นพวกเขามีอยู่แล้วแค่ปรับแต่งเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายก็ประมาณ 260 อีแปะ เตา 80 อีแปะ 2 เตาและกระทะคุณภาพดีอีกกระทะละ 50 อีแปะ 2 ใบ”
“แล้วเรื่องเตาอบของข้าพวกเขาทำได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ทำได้แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย วันนี้เจ้าบอกรายละเอียดให้เขาแล้วจ่ายเงินให้เขาสักครึ่งหนึ่งก่อนก็ได้”
“พี่สะใภ้ท่านจะทำแป้งย่างต้นหอมไปขายที่ตัวหมู่บ้านอีกสัก 20 แผ่นก็ได้ขอรับ ข้าจะเดินไปขายให้ช่วงเย็นและนี่ก็เป็นเงินทั้งหมด 240 อีแปะ” เจ้าเจียล่วงเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาให้นาง
“ขอบใจมากเจ้าเจีย นี่ 20 อีแปะของเจ้า”เวยลี่มอบค่าน้ำใจเล็กๆน้อยๆให้น้องชาย เขาจะได้นำเงินไปเก็บออมเอาไว้
“พี่สะใภ้จะลองทำไปสัก 20 แผ่น ถ้าหากขายไม่หมดเจ้าก็นำกลับมากินที่บ้านแทนก็แล้วกัน”
ซูฮวาเห็นว่าอ้ายหนี่เริ่มง่วงจึงพานางไปนอนกลางวันพร้อมกับเจ้าเจีย เวยลี่เองไม่ชินกับการนอนกลางวันแต่แดดก็แรงเกินกว่าจะออกไปปลูกผักต่อ นางจึงเดินเข้านอนไปพักเอาแรงเช่นกัน
ผ่านไป 2 ชั่วยามเวยลี่ก็ตื่นขึ้นแล้วเดินออกไปล้างหน้า เสียงโต้เถียงของหัวหน้าลู่กับจูเหลียงดังเข้ามาถึงในบ้าน ซูฮวาเองก็ออกมาจากห้องแล้วเช่นกัน ทั้งสองคนพร้อมใจกันเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อดูสถานการณ์
จูเหลียงยืนเถียงกับลู่หงซวนมา 2 เค่อแล้วก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เขายืนยันอย่างเดียวว่าเขาอยู่มาก่อน และพื้นที่ตรงนี้เขาทำเล้าหมูมาหลายปีแล้วไม่เห็นจะมีใครมาไล่ที่เลย
“เจ้าจะอ้างแบบนี้ไม่ได้ข้ามีโฉนดที่ดินยืนยันว่าที่ตรงนี้เป็นของตระกูลหลี่เจ้าจะมายึดตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้” หัวหน้าลู่เริ่มจะหมดความอดทนแล้ว
“ข้าไม่รู้ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าพวกเขา พวกเขามาทีหลังเอง”จูเหลียงยังคงยืนยันคำเดิม ยามที่เขาพูดพุงที่ใหญ่โตของเขาก็กระเพื่อมขึ้นลงด้วยโทสะ
“เรื่องนี้ไม่ยากหรอกเจ้าค่ะท่านลุง เดี๋ยวข้าจะไปฟ้องร้องต่อนายอำเภอเอง ว่าที่ดินบ้านข้าที่ซื้อมาถูกต้องตามกฎหมายนั้นถูกบ้านตระกูลจูลุกล้ำเข้ามา” เวยลี่เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นจนทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียว
“เชิญ เจ้าคิดว่าเจ้ารู้จักนายอำเภอห่าวอยู่ผู้เดียวเหรอ ข้าเองก็เคยได้พบท่านมาตั้ง 2-3 ครั้ง”จูเหลียงยืดอกแสดงความภาคภูมิใจ
“ข้าไม่ไปฟ้องท่านนายอำเภอก็ได้ แต่ถ้าหากท่านไม่ยอมย้ายไปข้าจะให้ท่านน้าเฉินล้อมรั้วและเอาหมูทั้ง 6 ตัวของท่านเข้ามาอยู่ในรั้วด้วย
ข้าย่อมทำได้ไม่ผิดเพราะเล้าหมูของท่านตั้งอยู่บนที่ดินของข้า เหมือนที่บ้านของท่านก็ย่อมต้องตั้งอยู่บนที่ดินของท่าน
ตอนนี้เล้าหมูของท่านตั้งอยู่บนที่ดินของข้า ก็ไม่เท่ากับว่าหมูทั้ง 6 ตัวเป็นของข้าไปด้วยรึ
ท่านจะยอมย้ายคอกหมูหรือจะเสียทั้งคอกและเสียหมูทุกตัวไปด้วยก็ต้องแล้วแต่ท่าน ท่านเป็นคนฉลาดย่อมต้องตัดสินใจได้ถูกต้องอย่างแน่นอน” เวยลี่พูดช้าๆให้จงเหลียงค่อยๆคิดตาม
“มะ ไม่ ข้าจะไม่ยอมเสียหมูตั้ง 6 ตัวให้พวกเจ้า ยะ ย้าย ข้าจะย้ายเดี๋ยวนี้ ขอเวลาข้าก่อน”จูเหลียงพูดจบก็รีบวิ่งไปตามคนมาช่วยย้ายหมู
จูเหลียงเป็นชายวัยกลางคน เป็นคนเลี้ยงหมูประจำหมู่บ้าน มีลูกสาว 2 คนล้วนแต่ออกเรือนไปหมดแล้ว เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ปลูกเล้าหมูไว้ในที่คนอื่นเพราะว่าไม่ต้องการให้มันส่งกลิ่นเหม็นมาถึงบ้านตัวเอง
โชคยังดีที่ระยะห่างจากคอกหมูและบ้านตระกูลหลี่ห่างพอสมควรจึงไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นที่ไม่น่าพึงประสงค์นี้ด้วย
จูเหลียงรีบเดินไปหาคนงานมาช่วยย้ายคอกหมู แต่ก็ หาใครไม่ได้ จึงเดินกลับมาจ้างคณะคนงานที่กำลังทำรั้วให้ครอบครัวหลี่
พอคุยตกลงราคาค่าแรงกันได้จูเหลียงก็กลับไปนอนหลับที่บ้านด้วยความสบายใจ ปล่อยให้คณะคนงานหัวเราะเขาลับหลังกันยกใหญ่
อายุก็มากแล้วแต่ยังฉลาดสู้เด็กสาวรุ่นราวคราวลูกไม่ได้ ความเลื่อมใสศรัทธาในตัวของเวยลี่ในเหล่าคนงานจึงเพิ่มมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
หลังจากได้รับชัยชนะโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไร เวยลี่และซูฮวาก็พากันเดินกลับบ้าน เผื่อถ้าคนส่งเตาจะมาแล้วไม่เจอพวกนางเข้า
“ฮ่าๆ แม่ไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถจัดการจูเหลียงได้ง่ายถึงเพียงนี้ ขนาดพ่อเจ้ายังไม่สามารถจัดการเขาได้เลย” ซูฮวาเอามือตบลงบนโต๊ะด้วยความยินดี
“ท่านแม่พวกเขามาส่งเตากับกระทะของพี่สะใภ้” เจ้าเจียเพิ่งตื่นออกไปวิ่งเล่นก็เจอเข้ากับท่านลุงร้านขายเตาที่กำลังนำของมาส่งถึงหน้าบ้าน
“ท่านแม่ข้าจะไปดูเอง ต้องตรวจดูความเรียบร้อยด้วย”เวยลี่ลุกขึ้นแล้ว
เวยลี่ตรวจตราทุกอย่างดีแล้วก็จ่ายเงินเต็มจำนวนให้พวกเขา แล้วส่งแบบเตาที่ต้องการทำเป็นเตาอบให้พวกเขาดูว่าสามารถทำได้ไหม
ลูกชายของเจ้าของร้านรับไปดูไม่นานก็เอ่ยปากชมเชยนางว่ามีพรสวรรค์ที่ดี วาดรูปสวยและยังเข้าใจง่าย เวยลี่จึงยิ้มรับและจ่ายค่ามัดจำไป 200 อีแปะ
“พี่สะใภ้เข้าบ้านเถอะ”เจ้าเจียเดินมาดึงนางเข้าบ้านแล้วรีบปิดประตูทันที
“เจ้าเจียมีอะไรรึ”เวยลี่ถามขึ้นอย่างงุนงง
“พี่สะใภ้ไม่ควรยิ้มให้ชายอื่นเช่นนั้น หากพี่ใหญ่รู้คงจะเจ็บปวดมากแน่ๆ”
“โถ ดูพูดเข้าเถอะพี่ใหญ่ของเจ้าน่าจะยินดีเป็นอย่างยิ่งเลย ถ้าข้าจะเปลี่ยนที่หมายไปเกาะชายคนใหม่”
เวยลี่ไม่ได้กล่าวอะไรออกไปได้แต่เดินไปมองห้องครัวที่นางคุ้นเคยที่ตอนนี้มีเตาขนาดใหญ่ 2 เตาและกระทะคุณภาพดี 2 ใบวางอยู่
หากคราวหน้านางเข้าไปในตัวตำบลนางตั้งใจจะไปเลือกซื้อจานชามมาเพิ่ม เงินที่นางมีตอนนี้ประมาณ 14 ตำลึง
ตอนนี้นางมีรายรับทุกวันประมาณ 200 กว่าอีแปะ ซึ่งเงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆเลย หากท่านพ่อและอี้หานกลับมานางก็ยังสามารถขายแป้งย่างเลี้ยงดูพวกเขาได้
ไม่รู้ว่าจดหมายที่ซูฮวาฝากให้หัวหน้าหมู่บ้านลู่จะถูกส่งถึงมือพวกเขาวันไหน
คงต้องรอให้หัวหน้าลู่สร้างรั้วบ้านและหลังคาเสร็จก่อนหัวหน้าลู่ถึงจะเดินทางไปเยี่ยมญาติ แล้วจึงค่อยมีเวลาเดินทางไปตัวอำเภอเพื่อเข้าพบนายอำเภอและนำจดหมายไปส่งให้
ณ กำแพงเมืองโย่งอันฝั่งตะวันตก
นี่ก็ผ่านไป 3 วันข่าวเรื่องแป้งย่างก็เงียบลงไป หลี่ซานและอี้หานคอยเงี่ยหูรับฟังอยู่เสมอเผื่อว่าจะมีใครรู้เรื่องราวมาปรากฎตัว แต่ไม่นานนักก็มีข่าวประกาศลดคนงานออกมาอย่างกระทันหันทำให้สองคนพ่อลูกตกงาน
ตอนนี้กำแพงเมืองโย่งอันฝั่งตะวันออกสร้างเสร็จแล้ว พวกเขาอยากได้แรงงานชายที่มีประสบการณ์
อี้หานเคยมาสร้างกำแพงเมื่อ 2 เดือนก่อน แต่หลี่ซานไม่เคยทำงานมาก่อนจึงต้องกลับบ้านอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อพวกเราจะทำอย่างไรดี ท่านกลับไปก่อนหรือไม่”
“ใจเย็นๆก่อนทางการยังไม่ได้ออกประกาศ รอให้ประกาศออกมาก่อนแล้วพวกเรากลับบ้านด้วยกัน”
หลี่ซานไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ต้องให้ลูกและภรรยาต้องทำงานเลี้ยงดูอีกแล้ว หากยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการเขาก็ตั้งใจว่าจะทำงานไปเรื่อยๆอย่างน้อยก็ยังได้ค่าแรงวันละ 150 อีแปะ ดีกว่ากลับไปบ้านแล้วไม่มีช่องทางทำมาหากิน
