บทที่5 ดาบผู้พิทักษ์
"ท่านจอมปราชญ์ เหตุใดถึงรีบกลับเสียเล่า งานประมูลยังไม่จบเลย"
ผู้ที่มาขว้างหน้าของทั้งสองไว้นั้นคือลั่วชิงหยาง ซึ่งเป็นเจ้าแห่งศาสตร์มืดของหอคอยปีศาจ ซ้ำพัดที่อยู่ในมือของคนผู้นั้นยังเป็นพัดชิงเถียนที่หลิวฟางหรงนำออกมาประมูลครั้งนี้
"คุณหนูถอยไปก่อนเจ้าค่ะ คนผู้นี้ข้าจัดการเอง"
ฮุ่ยหลิงก้าวเข้าไปคั่นกลางระหว่างนายสาวของตนและชายแปลกหน้า พร้อมทั้งชักกระบี่อ่อนชี้ไปทางคนผู้นั้นอย่างเอาเรื่อง
ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับไม่สะทบสะท้านแต่อย่างใด ทั้งยังใช้นิ้วชี้ดันปลายกระบี่อ่อนของฮุ่ยหลิงออกไปอีกทาง
"อาวุธดีเช่นนี้ หากทำลายไปคงน่าเสียดายแย่ ข้าถูกพูดหรือไม่ ท่านจอมปราชญ์"
หลิวฟางหรงยังคงยืนเงียบ ลอบสังเกตชายแปลกหน้าผู้นี้อย่างถี่ถ้วน อาภรณ์ที่ส่วนอยู่บนร่างของเขานั้นล้วนแต่เป็นของชั้นดี ลักษณะท่าทีก็คล้ายกับคุณชายผู้สูงศักดิ์อยู่มาก ซ้ำยังเป็นผู้ใช้เวท ดูจากพลังเวทที่ไหลบนนิ้วชี้ของเขาแล้ว ย่อมเป็นจอมเวทอย่างไม่ต้องสงสัย นางจึงยกมือตบไหล่ของฮุ่ยหลิงเบาๆเป็นนัยว่า 'เจ้าสู้คนผู้นี้ไม่ได้'
ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากผู้เป็นนาย ฮุ่ยหลิงจึงเก็บกระบี่กลับคืนแล้วก้าวถอยออกมายืนด้านข้างนายสาว
"ไม่ทราบท่านจอมเวทผู้นี้ มีธุระอันใดกับเข้างั้นหรือ" น้ำเสียงของหลิวฟางหรงแข็งกระด้างขึ้นเล็กน้อย สำหรับผู้ที่คิดจะหาเรื่องตน นางไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้เขา
เมื่อลั่วชิงหยางเห็นท่าทีของช่างหลอมผู้ที่พวกเขาตามหามาตลอดหนึ่งปีเต็มก็พลันคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า "ประมุขเพียงต้องการจะพูดคุยกับท่าน ข้าจึงมาเชิญแม่นาง"
"เชิญข้า..." หลิวฟางหรงหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ "จำเป็นต้องให้จอมเวทกับนักยุทธ์ขั้นเจ็ดมาด้วยตนเองเลยหรือ"
ฝั่งตรงข้ามกับโรงประมูลมีรถม้าจอดรออยู่ พร้อมกับคนขับรถม้าหนึ่งคน ซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ด เพียงเพราะมาเชิญเด็กสาวที่พึ่งอายุสิบหกเช่นนาง หากไม่บอกคงนึกว่ามาจับคน!
ลั่วชิงหยางกระตุกยิ้ม ไม่คิดว่าดรุณีหน้าจะรับมือยากเช่นนี้
"แม่นางกล่าวเกินไปแล้ว ข้างกายประมุขของข้าล้วนแต่เป็นคนระดับนี้ทั้งนั้น"
"..."
คนผู้นี้จะไม่โอ้อวดเกินไปหรือไม่
คำถามนี้ผุดขึ้นในหัวของสองนายบ่าวในยามที่ได้ยินถ้อยคำที่คนตรงหน้ากล่าว ก่อนที่ทั้งสองหันมาสบตากันอย่างสื่อความหมาย
พวกนางหนึ่งคือผู้ใช้เวทระดับเริ่มต้น ส่วนอีกหนึ่งเป็นผู้ใช้ปราณยุทธ์ระดับสี่ ไม่ต้องถึงมือของผู้ใช้ปราณยุทธ์ เพียงแค่จอมเวทที่อยู่ตรงหน้านี้ลงมือ ก็สู้ไม่ได้แล้ว เมื่อมาลองชั่งใจดูแล้ว พวกตนยังเยาว์นัก มีสิ่งที่ทำไม่สำเร็จหลายอย่างและยังอยากมีชีวิตอยู่อีกสิบยี่สิบปี สองนายบ่าวจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า "ได้!"
ลั่งชิงหยางเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือของสตรีทั้งสอง หางคิ้วเรียวยาวพลันกระตุก ก่อนที่เขาเผยมือไปยังรถม้าฝั่งตรงข้าม
"เชิญแม่นางทั้งสอง"
หลิวฟางหรงและฮุ่ยหลิงจึงเดินไปรถม้าที่จอดรออยู่อีกฝั่ง
จากนั้นรถม้าคันใหญ่ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงประมูลไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ...
หลังจากเดินทางได้ระยะเวลาหนึ่งรถม้าที่พวกนางนั่งอยู่ก็ไม่มีท่าทีที่จะหยุด ฮุ่ยหลิงจึงเปิดมาหน้าออก
"นี่เป็นเส้นทางออกนอกเมืองมิใช่หรือเจ้าคะ คนพวกนี้ต้องการพาเราไปที่ใดกันแน่"
"คงจะเป็นฐานลับนอกเมืองที่ไหนสักแห่งกระมัง" หลิวฟางหรงเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนที่นางขึ้นมานั่งบนรถม้าคันนี้ บังเอิญเห็นสัญญาลักษณ์หัวกิเลนติดอยู่ ก็รู้ทันทีว่าประมุขที่พวกนางต้องไปเจอเป็นผู้ใด
ส่วนชายที่ประมูลพัดชิงเถียนของนางก็คงจะเป็น เจ้าแห่งศาสตร์มืด ลั่วชิงหยาง ไอเวทที่แผ่ออกมาปกคลุมตัวในยามที่ฮุ่ยหลิงชักกระบี่อ่อนเข้าใส่ เป็นสีดำ ต้องเป็นคนเขาไม่ผิดแน่
หลิวฟางหรงลับตาพักผ่อนอย่างใจเย็น ต่างจากสาวใช้ข้างกายที่เวลาในในใจนางร้อนรนดั่งไฟเผา เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยผู้เป็นนาย
กว่าจะถึงที่หมายล่วงเข้าสู่ยามโหยว่[1] รถม้าคันใหญ่มาจอดเทียบหน้าอารามร้างนอกเมือง
"เชิญขอรับ"
ผู้ใช้ปราณขั้นเจ็ดเปิดม่านรถม้าให้แก่สตรีทั้งสองอย่างสุภาพ ซึ่งการกระทำนั้นช่างขัดกับร่างกายอันใหญ่โตของเขายิ่ง พร้อมทั้งยังส่งยิ้มให้แก่แขกทั้งสองอย่างเป็นมิตร
แต่ในสายตาของฮุ่ยหลิงนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
"คุณหนู นักยุทธ์ผู้นี้เหมือนจะสติไม่ดีเลยเจ้าคะ" นางกระซิบแผ่วเบาของข้างหูผู้เป็นนาย
ทว่าด้วยที่คนผู้นั้นเป็นผู้ใช้ปราณยุทธ์ขั้นเจ็ดกลับได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มที่เป็นมิตรพลันหุบอย่างฉับพลัน เหลือเพียงใบหน้าที่บึ้งตึง
หลิวฟางหรงมองดูแล้ว คนผู้นี้ประเดี๋ยวยิ้มแย้มประเดี๋ยวบึ้งตึง จึงความเห็นตามสาวใช้คนสนิท
"ก็เหมือนคนสติไม่ดีจริงนั่นแหละ" กล่าวจบก็จะเดินเข้าไปในอารามร้าง
ส่วนผู้ที่โดนเด็กสาวทั้งสองนินทาระยะประชิด พลันตัวแข็งค้าง ถ้อยคำเมื่อครู่ลอยวนไปมาอยู่ในหัว
เขา...เหมือนคนบ้าเช่นนั้นหรือ
"หึๆ...น่าสนใจ"
ลั่วชิงหยางหัวเราะออกมา ก่อนจะยกมือตบไหล่ของปิงเยียนหนักๆแล้วเดินตามพวกนางไป
เมื่อหลิวฟางหรงเข้าไปในอารามร้างก็พบเข้ากับชายผู้สวมชุดคลุมยาวสีแดงผู้หนึ่งที่นั่งหันหลังให้แก่ตน ชุดคลุมคล้ายกับคนที่บุกรุกบ้านนางเมื่อหนึ่งปีก่อน
"เป็นท่าน"
ที่แท้ผู้ที่บุกรุกเข้าไปในบ้านของนางเมื่อหนึ่งปีก่อนก็เป็นเขา
ชายผู้นั้นจึงบุกรุกยืนขึ้นเต็มความสูง พร้อมหันกลับมามองผู้ที่อยู่หน้าประตู หมวกที่ปกคลุมศีรษะพลันเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา ชวนให้ลุ่มหลงของเขา
"ค่ายกลนั้นที่บ้านเจ้าใช้ได้เลย" มู่หลงเสวียนเอ่ยขึ้นพลางกวาดสายตาสำรวจสตรีที่สูงเพียงไหล่ตนอย่างโจ่งแจ้ง
"บุกรุกบ้านคนอื่น มันไร้มารยาทนะเจ้าคะ" เอ่ยจบนางก็นั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับชายผู้นั้น ทั้งยังรินชาให้ตนเอง ซ้ำยังไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามอนุญาต มองข้ามสายตาที่จ้องมองมายังตน
มู่หลงเสวียนเห็นท่าทีของดรุณีน้อยตรงหน้าก็พลันยกยิ้มขึ้น ลักษณะนิสัยเป็นไปตามที่ได้รับรับข้อมูลมาไม่ผิด
แต่กว่าที่จะหาตัวนางพบนั้นไม่ง่าย คนผู้นี้ไปมาอย่างไร้ร่องรอย หากครั้งนี้เขาไม่วางเหยื่อล่อเขาไว้และให้คนเฝ้าทางเข้าเอาไว้ก็มิรู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอกับนาง
"ฮุ่ยหลิง ชาของเจ้า" หลิวฟางหรงยื่นชาอีกถ้วยให้แก่คนสนิทของตนที่พึ่งมาถึง ก่อนจะหันไปเอ่ยประมุขแห่งหอคอยปีศาจว่า "ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอันใดงั้นหรือ"
"เพียงแค่อยากให้เจ้าช่วยหลอมอาวุธเวทชิ้นหนึ่งเท่านั้น"
"หลอมอาวุธเวท" คิ้วงามเลิกขึ้นด้วยความฉงน หอคอยปีศาจน่าจะมีช่างหลอมอยู่มาก เหตุใดถึงอยากให้นางหลอมอาวุธเวทด้วย
มู่หลงเสวียนไม่ได้ตอบคำถามของหลิวฟางหรงในทันที แต่ส่งสัญญาณให้ลั่วชิงหยางที่ยืนอยู่หลังตน ก่อนที่คนผู้นั้นจะนำกระดาษแผ่นใดออกมากางลงบนโต๊ะ
ทันทีที่หลิวฟางหรงและฮุ่ยหลิงเป็นภาพวาดนั้น พร้อมกับอักษรที่ถูกเขียนไว้ด้านข้างขนานกับรูปวาด ก็พลันนิ่งงันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่หลิวฟางหรงจะเอ่ยขึ้น "ช่างหลอมฝีมือดีก็มีตั้งมาก เหตุใดถึงเป็นข้า"
ภาพอาวุธเวทที่ประมุขแห่งหอคอยปีศาจนำมาให้นางดู เป็นดาบยาว ที่มีอักขระลวดลายโบราณกำกับอยู่หนึ่งชุด มันถูกเรียกว่าดาบผู้พิทักษ์
ในอดีตก่อนที่ดินแดนจะถูกแบ่งแยกออกไปสองส่วน ได้มีสงครามแย่งชิงดินแดนเกิดขึ้น ทุกพื้นเจ๋งนองไปด้วยธารเลือดและซากศพ มีการเข็นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน เป็นระยะเวลากว่าสิบปี จนกระทั่งมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
เขาได้รวบรวมยอดฝีมือจากทั้งสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นนักยุทธ์ นักเวท ช่างหลอม ปราชญ์วิญญาณ พวกเขาเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือสยบความโกลาหลในใต้หล้า จนเวลาล่วงเลยไปถึงห้าปี ในที่สุดประณิธานของกลุ่มคนเหล่านั้นก็สำเร็จ ใต้หล้าสงบสุข ทว่ากลับยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยินยอมจะอยู่ใต้อาณัติเขาผู้นั้น จึงได้ลุกฮือต่อต้าน และเกิดสงครามการแย่งชิงขึ้นเป็นครั้งที่สอง
กลุ่มผู้ต่อต้านเป็นฝ่ายแพ้ ถูกผลักดันออกไปอยู่ฝั่งโพ้นทะเล ต่อมาถึงถูกเรียกว่าดินแดนนอกเขต
ส่วนอีกฝั่งคือจักรวรรดิ ซึ่งผู้นำกลุ่มเป็นผู้สถาปนาขึ้น และเขายังแบ่งอาณาเขตให้แก่แม่ทัพคนสนิทของตนเป็นผู้ปกครอง คือ อาณาจักรหมิงเยว่และอาณาจักรเป่ยอัน ส่วนอาณาจักรซีซวนเขาเป็นผู้ขึ้นปกครอง
ในตำนานที่เล่าขานกันมา มหาจักรพรรดิแห่งซีซวนมีอาวุธคู่กายอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นดาบยาวที่ทรงอานุภาพ มีถูกเรียกว่าดาบผู้พิทักษ์ ทว่าน่าเสียดายที่มันแตกหักไปในสงครามใหญ่ครั้งสุดท้าย มีเพียงภาพวาดที่ยังคงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์นั้นผ่านไปร่วมพันปีแล้ว ภาพวาดที่ลั่วชิงหยางนำออกมานั้น สีของน้ำหมึกก็ซีดจางลงไปมาก ทว่าสำหรับช่างหลอมอย่างหลิวฟางหรงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านั้นคือดาบผู้พิทักษ์ในตำนาน
"การที่เจ้าสามารถหลอมแหวนมิติชิ้นนั้นขึ้นมาได้ นั้นก็แปลว่าเจ้ามีความสามารถพอตัว"
มู่หลงเสวียนปรายตามือแหวนมิติที่อยู่บนนิ้วมือของสองนายบ่าวแล้ว
"หากข้าไม่ตกลงเล่า"
"เช่นนั้นข้าก็จะจับพวกเจ้ามัดไว้และส่งให้จักรพรรดิหมิงเสียน คงได้เงินเยอะน่าดู" เอ่ยจบประมุขแห่งหอคอยปีศาจก็พลันแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
"ท่านข่มขู่ข้าหรือ" หลิวฟางหรงถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางมีชีวิตมาสองชาติไม่สะทกสะท้านกับคำข่มขู่เพียงเล็กน้อยของเขา
ทว่าฮุ่ยหลิงนั้นต่างออกไป ด้วยที่นางอายุน้อย จึงหวาดกลัวกับการข่มขู่ของประมุขหอคอยปีศาจผู้นั้น หากว่านางถูกจับกลับไป สถานะของตนจะต้องถูกเปิดโปร่งไปด้วย ถึงยามนั้นต้องส่งผลกระทบถึงครัวครอบนางเป็นแน่
แม้จะไม่ได้เติบโตมาดั่งเช่นคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนอื่น แต่ในใจฮุ่ยหลินก็ทราบดีว่าบิดามารดากับคนในสกุลฮุ่ยรักและเป็นห่วงตนเพียงใด ทุกเทศกาลจะมีของขวัญส่งมาไม่ขาดสาย นางไม่ปรารถนาให้คนเหล่านั้นเดือดร้อน จึงยื่นมือไปกระตุกชายอาภรณ์ของผู้เป็นนายเบาๆ
แต่ด้วยความเลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของบ่าวรับใช้ผู้นั้น ก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของปีศาจร้ายอย่างมู่หลงเสวียนไปได้ รอยยิ้มอันชั่วร้ายพลันปรากฏบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา
"แต่เหมือนว่าสาวใช้ของเจ้าจะไม่คิดเช่นนั้นนะ ท่านหญิงเยว่ฟางหรง"
---------------------------------------------------
*1 ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 18.59 น.