บทที่ 8
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขา
ก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง
อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ
"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง
"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอมหัวเขาไปอีกคนละที จ้าวหนิงหลงมองด้วยสายตาล้ำลึก
"ข้าอิ่มแล้วขอรับ" หนิงเฉิงบอกซูหนี่
"ข้าก็อิ่มแล้วขอรับ" อันเออร์วางตะเกียบลง ซูหนี่จึงเก็บจานชามไปล้าง แล้วเรียกเด็กทั้งสองไปล้างหน้าแปรงฟันเพื่อจะได้นอนกลางวัน
ตอนนี้เด็กทั้งสองเริ่มมีแก้มแล้วหน้าตาของทั้งคู่ได้ทั้งจุดเด่นของจ้าวหนิงหลงกับซูหนี่มาต้องบอกเลยว่าเด็กทั้งคู่รูปงามอย่างยิ่ง
ซูหนี่กอดทั้งคู่เข้านอนไปด้วยกัน จ้าวหนิงหลงเปิดประตูเข้ามาดูอย่างแผ่วเบา เขายืนมองทั้งสามคนกอดกันนอนหลับด้วยความอิจฉา เมื่อรู้ตัวว่ามีความคิดไม่ดีเขาก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที
จ้าวหนิงหลงยืนลูบหน้าอกอยู่หน้าประตู เขามองไปรอบบ้านที่สะอาดเรียบร้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หากนางยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจะดีสักแค่ไหน เมื่อตนเดินทางไปสอบก็ไม่ต้องห่วงบุตรชายทั้งสองอีกแล้ว
เมื่อมีความคิดเช่นนี้เขาก็เริ่มวางแผนให้นางอยู่ต่อในใจ เพราะเขาเชื่อว่านางไม่ใช่ซูหนี่คนเดิมแน่ แต่เขาหาเหตุผลไม่ได้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นใครกันแน่ แม้เขาจะไม่ได้ชอบนาง แต่หากนางยังอยู่ดูแลบ้านและลูกให้เขามันคงจะดีไม่น้อย จะว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้ที่ยังอยากจะให้นางอยู่ต่อเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ซูหนี่ตื่นขึ้นมาก็พบเด็กทั้งคู่ยังคงกอดนางหลับอยู่ นางจึงค่อยๆลุกออกไป นางจะลองเดินไปดูที่ริมแม่น้ำว่ามีสิ่งใดที่สามารถนำมากินได้บ้าง นางอยากจะหาอะไรแปลกใหม่ให้เด็กๆได้ลองกิน
ริมแม่น้ำตอนนี้ไม่มีชาวบ้านแล้ว เพราะใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นนางจึงรีบเดินหาของทันที ในน้ำย่อมต้องมีของกิน นางเดินตามริมแม่น้ำยกก้อนหินขึ้นก็เจอกุ้ง ปู เต็มไปหมด ชาวบ้านคงไม่รู้วิธีกินเลยไม่มีใครมาจับมันไป
สองมือนางรีบจับใส่ตะกร้าทันที หากกินไม่หมดก็ใส่โอ่งน้ำไว้กินมื้ออื่นได้ ด้วยความเร่งรีบไม่ระวังทำให้โดนกุ้งโดนปูหนีบได้ แต่ตอนนี้นางไม่สนแผลเล็กน้อยแค่นี้แล้ว นางสนแค่วันนี้ พรุ่งนี้จะกินอะไรดี ชีวิตคนก็คงเท่านี้มั้ง
ระหว่างทางกลับนางมองหาพริก กระเทียมป่านางเก็บมาไว้บ้างแล้ว แต่ตอนนี้นางอยากได้พริกหากมีพริกจะได้ทำน้ำจิ้มได้ นางเดินไปตามริมแม่น้ำไม่ไกลเท่าใดนักก็พบกับพริก หากไม่สังเกตดีๆก็คงจะมองไม่เห็นเพราะมันขึ้นอยู่ในพงหญ้า
นางเด็ดมาเยอะมาก แล้วยังขุดต้นเล็กๆหลับมาอีกหลายต้น เพื่อปลูกไว้ใช้ในครั้งต่อไปจะได้ไม่ต้องออกมาเก็บ แต่นางจะอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วันแล้ว ไว้ไปที่ใหม่ค่อยนำไปปลูกด้วยก็แล้วกัน
ซูหนี่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะกลัวเด็กๆจะรอกินข้าวนาน กลับมาถึงนางก็หุงข้าวทันที พรุ่งนี้หากขายถั่งเช่าแล้วคงต้องซื้อของมาเติมให้เต็มเมื่อนางไม่อยู่อย่างน้อยเด็กๆจะได้มีอาหารกิน นางนำปูไปนึ่ง แล้วแกะกุ้งเตรียมไว้เพื่อผัดข้าวให้เด็กทั้งสอง นางก่อไฟด้านนอกแล้วนำกไม้ไผ่มาหนีบกุ้งไว้เพื่อนำไปเผา จากนั้นนางก็ทำน้ำจิ้ม ตำพริก กระเทียม ใส่เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ใช้เลม่อนแทนมะนาว นี่คือรสชาติที่คุ้นเคย
กุ้งเผาก็เสร็จเรียบร้อย นางนำปูมาแกะให้เหลือแต่เนื้อ ส่วนหนึ่งนำไปผัดข้าวผัดใส่พร้อมกุ้ง นางเรียกให้หนิงเฉงกับหนิงอันมาลองกินกุ้งกับปูอย่างละนิดก่อนเพื่อทดสอบว่าพวกเขากินได้ไม่แพ้ หากให้กินแล้วแพ้ขึ้นมากว่าจะเดินทางไปตามหมอมานางกลัวว่าจะเกิดอันตราย เมื่อรอสักพักไม่เกิดอาการนางจึงจัดอาหารขึ้นโต๊ะ แล้วนางยังมีซุปปลาตัวเล็กไว้กินตัดเลี่ยนอีกด้วย
หนิงเฉิงกับหรงเฉิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า มุมปากยังมีน้ำลายไหลลงมาเล็กน้อย นางหัวเราะไปเช็ดน้ำลายพวกเขาไป เมื่อจ้าวหนิงหลงยกตะเกียบทั้งคู่ก็พุ้ยข้าวใส่ปากเต็มคำ
"ค่อยๆกิน อร่อยหรือไม่" ซูหนี่ถามเด็กน้อยทั้งสอง
"อร่อย/อร่อยมากท่านแม่/ อร่อยมากขอรับ" ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน จ้าวหนิงหลงก้มหน้ากินข้าวต่อ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเสียอาการเพราะอาหารตรงหน้าจึงหลุดปากพูดไปเมื่อซูหนี่ถามขึ้นมา
ซูหนี่ตักน้ำแกงให้ทั้งสามคนเพราะกลัวจะติดคอ จ้าวหนิงหลงเติมข้าวถึงสามชาม เขากินกุ้งเผากับน้ำจิ้มไม่หยุด แม้จะเผ็ดร้อนจนเหงื่อออก เด็กทั้งสองที่ยังกินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่สนใจแม้ไม่มีน้ำจิ้มกุ้งเผากับปูนึ่งก็ยังอร่อยอยู่ดี ซูหนี่ก็กินเผ็ดจนปากเจ่อ อาจจะเป็นเพราะร่างนี้ยังไม่เคยกินเผ็ดขนาดนี้
จ้าวหนิงหลงเห็นเช่นนั้นก็รินน้ำส่งให้นาง เขามองปากที่บวมของนางจนเหม่อ ปอยผมที่หลุดข้างแก้ม เหงื่อซึมไหลออกมาที่หน้าผาก เขาเพิ่งรู้ว่านางสวยถึงเพียงนี้ จ้าวหนิงหลง สำนักน้ำลายตนเองจนซูหนี่ส่งน้ำให้แล้วช่วยตบหลังเขาเบาๆ
"ท่านก็ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย จะรีบกินไปทำไม เฉิงเออร์กับอันเออร์ยังไม่สำลักเลย" เด็กน้อยทั้งสองยืดอกขึ้นเมื่อได้รับคำชม
"ท่านพ่อไม่เก่งเช่นข้าขอรับ" อันเออร์เชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ อย่างน้อยก็มีเรื่องที่ทำให้ท่านพ่อเสียหน้าได้
"ใช่จ้ะ อันเออร์ เฉิงเออร์ของแม่เก่งยิ่งนัก"
ชาวบ้านที่หลังใกล้ที่สุดหลายหลังด้วยกันยังเดินมาชะเง้อคอมองว่าบ้านนี้ทำอันใดกินกลิ่นถึงได้หอมเช่นนี้