2.สื่อนำทาง
ณ เมืองตอนใต้ของแผ่นดินใหญ่
ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาอย่างคึกคักเมืองหนายโจที่เป็นแหล่งรวมทุกสิ่งก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงเมืองหน้าด่านที่ขึ้นชื่อถึงกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีศัตรูหน้า
ไหนผ่านเข้ามาได้นานนับสิบปีเจ้าเมืองหนายโจมีนามว่าตงโฉเป็นเจ้าเมืองที่ปกครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่เคยคิดโกงกินแผ่นดินสักครั้งทำให้เป็นที่
นับถือของชาวบ้านยิ่งนัก
เมื่อหลายวันก่อนได้เกิดเหตุการณ์อันแปลกประหลาดหลังจากที่เขาได้เข้าไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษของตระกูลในหุบเขาแสงจันทร์ก็ได้พบกับร่างของหญิงสาวสองนางที่นอนไม่ได้สติอยู่ด้วยความที่ฮูหยินยังไม่มีบุตรพอได้พบกับหญิงสาวกลับชอบใจถึงขนาดขอให้พากลับจวนด้วยทางตงโฉนั้นยังแคลงใจแต่ก็หาขัดใจฮูหยินไม่ คิดว่าดีเสียอีกเก็บไว้ใกล้ตัวดีกว่าปล่อยให้จากไปถ้าหากเป็นศัตรูคิดร้ายเขาคงต้องลงมือจัดการทันทีเมื่อได้ข้อสรุปเขาค่อยเบาใจไปหลายส่วน
"ท่านพี่"เสียงฮูหยินดังมาจากหน้าห้องทำงานของเขาคงมารายงานอาการของหญิงสาวทั้งสองคนเป็นแน่
"มีอะไรหรือไม่น้องหญิง"
"ข้าได้ไปตรวจสอบอาการของนางทั้งสองอาการดีขึ้นยิ่งนักคงจะฟื้นคืนมาอีกไม่นาน เมื่อถึงตอนนั้นท่านพี่คงได้ถามไถ่ถึงที่มาของทั้งสองคน"
"เจ้ากังวลเรื่องอันใดหรือน้องหญิง" สีหน้าของฮูหยินช่างไม่สู้ดีนัก
"ข้าไม่แน่ใจแต่ข้าชอบพวกนางมากแม้พบกันเพียงแค่ไม่กี่วันแต่ข้ารู้สึกผูกพันกับทั้งสองมากนัก"
ฮูหยินได้ส่งสีหน้าอันเว้าวอนให้สามีไม่รู้มีอะไรมาดลใจนางเพียงแค่เจอครั้งเดียวนางกลับต้องการนางทั้งสองให้มาอยู่ข้างกาย ทั้งที่เมื่อก่อนนางไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง
"เจ้าอยากบอกอะไรข้าหรือหาได้เกรงใจกันความรู้สึกของเจ้าสำคัญกับข้ายิ่ง"
"ท่านพี่ช่างดีกับข้ายิ่งนักหากพวกนางฟื้นแล้วหลังจากที่ท่านพี่ได้สอบสวนถ้าพวกนางสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ที่ได้ลอบเข้าไปสุสานตระกูลของเราท่านพี่อนุญาตให้ข้ารับทั้งสองเป็นบุตรีได้หรือไม่เจ้าคะ"
สิ่งที่ได้ยินไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้เท่าไหร่นักเดิมทีฮูหยินของเขาก็อยากที่จะมีบุตรสักคนแต่จนล่วงเลยเวลานานก็ไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์ทั้งฮูหยินและตนต่างเสียใจมากในเรื่องนี้ เมื่อนั่งคิดอย่างถี่ถ้วนในใจตงโฉก็หาอยากขัดใจไม่ เพียงแต่ยังมีเรื่องที่ไร้ที่มาที่ไปเกินไป
"เรื่องนี้ยังมีหลายส่วนที่ยังไม่น่าไว้ใจไว้ให้พวกนางฟื้นก่อนเถิดฮูหยินข้าจะทำการให้แล้วเสร็จและหาคำตอบมาให้อีกที ดีหรือไม่"
ถึงจะบอกให้รอแต่ก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจของนาง ได้แต่พูดให้นางสบายใจไปก่อน
"เจ้าค่ะท่านพี่งั้นข้าคงต้องขอตัวก่อนข้าจะไปเตรียมสำหรับเย็นนี้ให้ท่านพี่นะเจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินคำกล่าวของสามีนางก็แย้มยิ้มอันงดงามออกมาน้อยๆก่อนจะจับแขนของสามีอย่างออดอ้อนก่อนจะรีบกลับไปตระเตรียมสำหรับอาหารยามเย็น
"ขอบใจเจ้ามากฮูหยินของข้า"
ร่างบอบบางสองร่างกำลังกระสับกระส่ายเหงื่อออกท่วมตัวความฝันหรือ เสียงร่ำร้องในหัวตอนนี้คงมีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นไปได้
ที่นี่ที่ไหนกันสวยงามอย่างกะอยู่ในสวรรค์กลิ่นหอมของดอกไม้นี่มันดอกอะไรกันนะเดี๋ยวต้องหาไปปลูกที่บ้านแล้ว ซีคิดอย่างรื่นเริง
'ยัยซี' เสียงเรียกที่มาจากด้านหลังนี่คุ้นจังเลยเหมือนเสียงของยัยเหมยเลยแฮะ
แรงกอดจากข้างหลังทำให้ซีถึงกับล้มลงพื้นหญ้าเมื่อตั้งหลักได้ก็รีบมองหาตัวการทันที
'ยัยเหมยแกมาได้ยังไงนี่มันความฝันฉันนะ'
โป๊ก!!
โอ๊ย!!เจ็บแฮะทำไมฝันมีความรู้สึกล่ะ
'ยัยซีแกลองนึกดูดีๆซิ'
ก่อนที่มะเหงกจะลงที่หัวอีกครั้งซีก็ค่อยนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นใช่แล้วเธอถูกรถชนนี่แล้วยัยเหยมก็มาแถมยังเอากำไลที่พวกเธออยากได้เมื่อตอนเด็กมาใส่ให้ขณะที่ลมหายใจของเธอจะหมดก็เกิดแสงสีเหลืองนวลขึ้น
'แสงนั่น!!'
'ใช่และตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันจะว่าฝันก็คงไม่ใช่'
สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าเหลือเชื่อเกินไปซีได้แต่มองดูตัวเองที่ไม่มีแม้แต่รอยถลอกทั้งที่ก่อนหน้านี้อาการของเธอสาหัสนักพอมองไปรอบๆเธอก็มองออกว่าไม่ใช่สิ่งที่ปรกติแน่ๆโลกที่เธออยู่ไม่มีที่แบบนี้แน่ๆ
'ฉันตายแล้วเหรอแต่แกมาอยู่นี่ได้ยังไงยัยเหมยหรือว่าแกตายตามฉันเอ๊ะ!'
'พอเถอะแกฉันเดินแทบจะอ้อมเนินนี่แล้วแต่สถานการณ์แบบนี้มันเหมือนในหนังสือที่ฉันชอบอ่านมากๆเลยล่ะ'
สาวช่างฝันอย่างเหมยทำท่าเคลิ้มในเมื่อสิ่งที่เจอคงเดาได้อย่างเดียวคือพวกเธอได้หลุดเข้ามาในมิติกาลเวลาอย่างแน่นอนหรือถึงไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียงกลับสิ่งที่เธอคิด
'ยัยเหมยแกจะบอกฉันว่านิยายเล่นล่ะสองบาทของแกเป็นจริงหราหะ'
น่าตบกะโหลกจริงๆคนยิ่งเครียดอยู่สิ่งที่เหมยพูดถึงจะมีส่วนเป็นไปได้มากแต่เธอก็ไม่อยากยอมรับจริงๆเธอกลัวการสูญเสียแม่ที่เธอรักยังไม่ทันได้เจอหน้ากันก็ต้องมาจากแถมจากครั้งนี้เธอก็ไม่มีโอกาสกลับไปเสียด้วยซิ
เสียขลุ่ยหวานเบาปลิวมาตามสายลมนี่ที่ตรงนี้ยังมีคนอีกหรือเธอและเพื่อนของเธอรีบวิ่งอ้อมไปด้านหลังโขดหินที่บังอยู่
'สะ..สวยจัง'ภาพตรงหน้าของพวกเธอคือสตรีนางหนึ่งที่สวยหยาดฟ้าที่สุดราวกับภาพวาดก็ว่าได้เกิดมาไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้แล้ว สตรีนางนั้นหันมามองพวกเธอก่อนจะยิ้มบางๆอย่างอบอุ่นมาให้
'ซี เหมย พวกเจ้าเดินเข้ามาหาข้าซิ'
แม้แต่เสียที่เปล่งออกมาก็ไพเราะที่สุดทั้งสองสาวค่อยๆก้าวไปข้างหน้าเหมือนโดนมนต์สะกด
'ข้าเสียใจที่ภพนั้นเวลาของเจ้าได้หมดลงแต่เพราะเพื่อนของเจ้าที่ช่วยให้กรงล้อของโชคชะตาโลกนี้หมุนใหม่อีกครั้งเจ้าต้องขอบคุณเพื่อนของเจ้านะ'
นางฟ้า(?)แย้มยิ้มที่งดงามออกมาก่อนจะกล่าวราวกับเสียใจอย่างที่สุดและมาบอกให้ดีใจคืออะไร
'ช่วยอธิบายให้พวกเราเข้าใจอีกสักนิดได้หรือไม่'ซีเอ่ยออกมาเสียงสั่นนางยังไม่อาจยอมรับได้ที่เธอต้องมาตายอย่างนี้ทั้งยังไม่ทันได้ทดแทนบุญคุณของมารดาเลยสักครั้ง
'ซีเวลาของเจ้าที่นั่นหมดลงแล้วชะตาของเจ้าได้สิ้นสุดลงเมื่อเจ้ากลับแผ่นดินเกิดของเจ้าแต่สิ่งที่นำพวกเจ้าทั้งสองกลับมาที่นี่นั้นคือกำไลสองวงนี้'
สตรีนางนั้นได้ยื่นกำไลทั้งสองวงให้พวกเธอทั้งสองลังเลที่จะรับมันแต่ก็เหมือนมีบางสิ่งดึงดูดใจให้คว้าเอากำไลมา
'เธอ!! เอ่อท่านคือเทพธิดาองค์ใดหรือเจ้าค่ะ' เหมยลองเสี่ยงถามเพราะเธอคิดว่าสิ่งที่เจอคงมีแต่เทพหรือพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้
'เหมยเข้าใจอะไรง่ายดีนะ ข้าคือเทพหนี่วาพระแม่ที่เป็นผู้กำเนิดทุกสิ่งอย่าง. คิกคิก'
เสียงหัวเราะที่เหมือนระฆังกังวานใสนี้ช่างเหมาะกับรูปลักษณ์ที่เห็นเสียจริง
'กำไลสองวงนี้คือตัวแทนของคำสัญญารักในอดีตของพวกเจ้าทั้งสองคนเมื่อมาอยู่ในวันเวลาที่กำหนดก็สำแดงผลของคำสาบานที่มีให้กันจะกี่ภพกี่ชาติก็จะต้องมาครองคู่รักกันเสมอ'
สิ้นคำอธิบายภาพก็ปรากฏต่อหน้าพวกนางเป็นคนในครอบครัวที่รักของพวกเธอที่กำลังจัดงานศพให้เธอทั้งสองคนบรรยากาศในงานช่างเศร้าเหลือแสนพวกเธอทั้งสองต่างหลั่งน้ำตากับภาพที่เห็นแต่มีสิ่งหนึ่งที่ซีไม่เข้าใจ
'เหมยแกเป็นอะไรตายฉันจำได้แค่ว่าฉันถูกรถชนนี่'
ซีรีบหันไปถามเพื่อนรักของเธอเหตุใดในภาพถึงมีงานศพของเหมยด้วย
'ฉันไม่แน่ใจ '
เหมยกำลังสับสน เธอยังไม่ตายนิตอนยัยซีโดนรถชนเธอยังวิ่งเข้าไปดูอยู่เลย
'เหมยเจ้าตายก่อนหน้าที่ซีมาถึงแผ่นดินเกิดหนึ่งวันนะ'
ห๊ะ เสียงอุทานที่ดังขึ้นจากสองสาวนี่มันช่างดังแสบหูเสียจริง