บทที่ 1 นักศึกษา
แสงแดดยามบ่ายส่องลอดกิ่งก้านใบของจามจุรี ทอดเงาร่มรื่นลงสู่พื้นอิฐสีขุ่นที่ปูโดยรอบโคนต้น กินเนื้อที่เป็นบริเวณกว้าง ดอกสีชมพูอ่อนหลุดร่วงจากขั้วเมื่อถึงวาระแห่งการโรยลา
กลิ่นหอมจางของดอกกระจายไปทั่วบริเวณราวกับกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากสปาหรูช่วยให้บรรยากาศสดชื่นขึ้น ความร่มรื่นของเงาไม้ใหญ่ช่วยลดองศาความร้อนระอุของอากาศยามบ่ายลงได้มากทีเดียว นักศึกษาหลายกลุ่มนัดพบปะเจอะเจอกันที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นจามจุรีแห่งนี้
บางกลุ่มเข้ามาเพื่อทำรายงาน บางกลุ่มเข้ามาพักผ่อนหลังหมดวิชาเรียน บางกลุ่มนัดพบเพื่อพูดคุยตามประสาหนุ่มสาว และบางกลุ่มก็เข้ามาสนุกสนานเฮฮากับเกมหมากฮอสเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดไปในตัว
หญิงสาวรูปร่างแบบบางในชุดนักศึกษาเสื้อสีขาวสะอาดตา กระโปรงเข้ารูปเหนือเข่าเล็กน้อย
เดินเข้ามาที่ลานร่มจามจุรีพร้อมกับเพื่อนสนิทอีก 3 คนอย่างคุ้นเคย หนึ่งในสามเพื่อนสนิทของหล่อนเป็นชายหนุ่มผิวค่อนข้างขาว ดวงตาเล็กยิ้มแต่ละทีแทบมองไม่เห็นลูกตา ท่าทางอารมณ์ดีรวมอยู่ด้วย ทั้งหมดเดินมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนตัวเดิม กระเป๋าสะพายของสามสาวถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของพวกหล่อน หนังสือสองสามเล่มและสมุดเล็คเช่อร์วางลงข้างกัน หนุ่มตี๋โยนหนังสือและสมุดที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะโครมใหญ่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง
“เบาหน่อยได้มั้ยไอ้วิช” หญิงสาวแก้มอิ่มดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นสายตาตำหนิเพื่อนหนุ่มทันที
“ขอโทษครับคุณนาย คราวหน้ากระผมจะทำเบาๆ ครับ” ธีรวิชหันมาทำท่านอบน้อมกับวรรณพรหญิงสาวผู้มีความเรียบร้อยนุ่มนวลอยู่ในตัวและไม่ว่าจะทำอะไรต้องคิดก่อนเสมอ หล่อนจึงดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
“อย่ากวน ขอร้อง อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่” วรรณพรสะบัดเสียงดวงตากลมโตมองลอดแว่นอย่างไม่พอใจ ธีรวิชหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขบขันทุกครั้งที่เพื่อนสาวมีสีหน้าไม่พอใจในสิ่งที่เขากระทำ
วรรณพรเป็นอย่างนี้ เขาจึงต้องยั่วให้โมโหแต่หล่อนก็ไม่ติดใจโกรธเขานาน เพียงแค่ข้ามชั่วโมงก็หายแล้วและหล่อนไม่เคยโกรธเพื่อนๆ ข้ามวันสักครั้งและแม้ว่าวรรณพรจะติติงเขากับเพื่อนบ้างเพราะความเจ้าระเบียบของหล่อนแต่หล่อนก็เป็นคนใจดี สงสารคนที่ด้อยกว่าร่ำไป
“แกสองคนหยุดทะเลาะกันสักวันได้มั้ยเนี่ย” นัชชาหญิงสาวทันสมัยตั้งแต่เสื้อผ้า ผม ยกเว้นใบหน้าหวานที่ไม่ว่าจะแต่งตัวเปรี้ยวเพียงใดดวงตาของหล่อนก็ยังหวานซึ้งเช่นเดิมซึ่งตรงข้ามกับคำพูดโดยสิ้นเชิง ดวงตาคู่สวยขุ่นขวางขณะมองมาที่ธีรวิชกับวรรณพร หญิงสาวรำคาญสองหนุ่มสาวจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ วรรณพรปิดปากสนิทธีรวิชก็เช่นกันเพราะทั้งสองรู้ว่านัชชาเริ่มหงุดหงิดกับการโต้ตอบของพวกเขาแล้ว พาขวัญเหลียวมามองนัชชาก่อนจะเบนสายตาไปที่วรรณพรและธีรวิช หญิงสาวผ่อนลมหายใจแล้วพูดขึ้น
“พวกแกหยุดเถียงกันแล้วมาช่วยกันคิดเรื่องงานที่อาจารย์ยุทธสั่งดีกว่า ยัยนัชไม่ต้องอารมณ์เสียด้วย”
“ฉันว่าจารย์ยุทธเพี้ยนแน่ว่ะ” หนุ่มตี๋เข้าเรื่องที่พาขวัญเอ่ยถึงได้ทันท่วงที
“เพี้ยนยังไง” นัชชาไม่เข้าใจกับคำพูดของเพื่อนหนุ่ม
“เพี้ยนยังไง ไม่น่าถาม ก็ดูสั่งงานเข้าสิ สั่งไปได้ ยังงี้ไม่เรียกว่าเพี้ยนก็เรียกว่าบ้า” หนุ่มตาเล็กฉุนเฉียวเขาไม่พอใจกับคำสั่งของอาจารย์สรยุทธ เปรื่องปราชญ์ หัวหน้าภาคคณะวิชาวารสารศาสตร์และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาด้วย
“อาจารย์ไม่บ้าแล้วก็ไม่เพี้ยนอย่างที่แกว่าหรอกไอ้ตี๋ แต่อาจารย์หวังดีกับพวกเรา” วรรณพรแก้ต่างให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งหล่อนมีความคิดคล้ายอาจารย์เกือบทุกครั้งที่เขาสั่งงานกับนักศึกษา
“เนี่ยนะหวังดีของแก” ธีรวิชเหน็บแนม
“ก็เออสิ ทำไม” สาวแว่นหนาตอบกลับท่าทางเอาเรื่อง
“ฉันไม่เถียงกับแกแล้วไปซื้อน้ำดีกว่า” ลุกขึ้นยืนเขาเบื่อจะโต้คารมกับวรรณพรเพราะเถียงทีไรก็สู้สาวร่างอวบไม่ได้สักครั้ง
“ของฉันเหมือนเดิม” นัชชาหยิบแบ๊งค์สีเขียวออกมาจากกระเป๋าถือของหล่อนส่งให้ธีรวิช
“ของฉันเปลี่ยนเป็นแตงโมปั่น” แม้ว่าเพิ่งต่อปากต่อคำกันเมื่อครู่แต่วรรณพรก็ส่งแบ๊งค์ยี่สิบให้ธีรวิช เขากระชากสตางค์จากมืออวบขาว พาขวัญหัวเราะอย่างอดไม่ได้แล้วสั่งเช่นเดียวกับนัชชา
“ของฉันก็เหมือนเดิมแต่เพิ่มฝรั่งแช่บ๊วย 1 ถุง แตงโมเย็นๆ อีก 1”
“มะม่วงแช่อิ่มด้วย” นัชชาสั่งเพิ่มหล่อนอยากทานของเปรี้ยวๆ ขึ้นมาทันที
“ยี่สิบบาทเนี่ยนะ” ธีรวิชจับแบ๊งค์ที่นัชชาให้เขาโชว์ให้ดู
“พูดมากเอาไปอีกสิบบาท” นัชชาหยิบเหรียญ 10 บาทส่งให้เพื่อนแต่ธีรวิชไม่รับ
“แกไปกับฉันดีกว่า ไปช่วยฉันถือ” เขาฉุดแขนเพื่อนสาวลุกจากเก้าอี้ออกไปกับเขา แทนการรับเงินเพิ่มซึ่งนัชชายอมลุกตามไปแต่โดยดี