๒.๓ ติวเตอร์มือใหม่
ปริญชยาหยุดฟังคำวิจารณ์เหล่านั้นอย่างอดไม่ได้จนทำให้รามิลต้องหันกลับมามองเมื่อไม่หล่อนเดินตาม
“คุณ” เสียงทุ้มของเขาปลุกให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ตัวเอง “หยุดทำอะไร มาสิ”
“ค่ะๆ” หล่อนรีบเร่งฝีเท้าให้ทันเขาในที่สุด
เขาพาหล่อนมานั่งในร้านอาหารของคอนโดมิเนียมซึ่งก็หรูหราไม่น้อย หญิงสาวมองรายการอาหารยาวเหยียดด้วยความไม่เคยชินแล้วก็แอบถอนหายใจ อาหารแต่ละอย่างล้วนแต่มีราคาแพง หล่อนจึงกัดฟันสั่งข้าวผัดอเมริกันไปจานหนึ่งก่อนจะส่งเมนูให้เขาบ้าง
“กินแค่นั้นเหรอ” รามิลถามขึ้น
“ค่ะ”
“ไหนบอกว่าหิวไง”
“ก็มันแพงนี่คุณ ขืนสั่งไปเยอะ ฉันก็ไม่มีตังค์พอจ่ายสิ” ปริญชยาบ่นปอดแปด
“แค่สองสามร้อยเองทำขี้เหนียวไปได้” เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ
“ฉันไม่ได้ขี้เหนียว แต่ต้องประหยัด ฉันไม่ได้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนคุณนะ” หล่อนแย้ง
“เป็นนักเขียนน่าจะรวยนะคุณ”
“บ้าสิ... คุณไม่เคยได้ยินคำว่านักเขียนไส้แห้งเหรอ”
“เอาเป็นว่ามื้อนี้ผมเลี้ยงแล้วกัน อยากกินอะไรก็สั่ง” รามิลเอ่ยอย่างใจกว้าง
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร โดยเฉพาะคนแปลกหน้าอย่างคุณ”
ชายหนุ่มเอียงคอมอง “หยิ่งซะด้วย”
“คุณจะด่าว่าฉันจนแล้วหยิ่งใช่ไหม” เสียงหวานถามอย่างรู้ทันว่ากำลังถูกอีกฝ่ายกระแนะกระแหน
เขาหัวเราะร่วนก่อนจะหันไปสั่งอาหารของตัวเองบ้าง อีกไม่ถึงสิบนาทีเมนูที่ทั้งสองคนสั่งไปก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ข้าวผัดอเมริกันและน้ำเปล่าหนึ่งแก้วถูกเลื่อนมาวางที่หน้าหล่อน ส่วนของรามิลมีขนมปัง ไข่ดาว แฮมทอด น้ำส้มแมนดาริน กาแฟสดหอมกรุ่นอีกหนึ่งแก้ว
ชายหนุ่มเริ่มลงมือด้วยการเหยาะพริกไทยกับซอสใส่ไข่ดาวและตักใส่ปาก ตามด้วยขนมปังประกบแฮม เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างน่าอร่อย น้ำส้มในแก้วดูสดใหม่คงจะหวานชื่นใจไม่น้อยยามเขายกขึ้นดื่ม ปริญชยาแอบกลืนน้ำลายลงคอมองอาหารในจานตัวเองแล้วก็รู้สึกว่ามันจืดชืดสิ้นดีจนต้องรวบช้อนทั้งที่ข้าวผัดยังเหลืออยู่พูนจาน หญิงสาวอดเสียดายไม่ได้เพราะปกติหล่อนจะทานข้าวไม่ให้เหลือสักเม็ดเพราะรู้ดีว่าชาวนายากลำบากแค่ไหนกว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ด หากครั้งนี้มันฝืนกลืนไม่ลงจริงๆ
“อิ่มแล้วเหรอ?” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นหล่อนรวบช้อน
“ค่ะ”
“คุณนี่แปลก บอกว่าหิวก็สั่งมานิดเดียวเพราะกลัวเปลือง ไอ้ครั้นสั่งมาอย่างเดียวก็กินไม่หมดอีก”
“มันเรื่องของฉันน่า คุณรีบๆ กินเถอะ ฉันจะได้กลับไปทำงานของฉันบ้าง” หญิงสาวตัดบทแล้วบุ้ยปากไปมา
คิ้วเข้มขมวดมุ่น “กินแค่นั้นจะมีแรงเหรอคุณ”
“ฉันพิมพ์นิยายนะ ไม่ได้ไปยกอิฐยกปูน”
“รู้แล้ว แต่ถ้าท้องไม่อิ่ม สมองมันก็ไม่แล่นหรอกนะ”
ปริญชยายอมรับว่าเขาพูดถูก แต่จะให้ทำยังไงก็ออกไปแล้วว่าอิ่ม จะให้กลับคำหรือซื้ออาหารเพิ่มก็กลัวเสียเงินและยังกลัวเสียฟอร์มด้วย
“มันเรื่องของฉัน” เมื่อไม่รู้จะทำยังไงเสียงหวานจึงเถียงไปข้างๆ คูๆ
รามิลส่ายศีรษะก่อนจะหันไปเรียกพนักงานของร้านมาสั่งอาหารเพิ่มให้หล่อน
“น้องครับ เอาแซนวิชแฮมชีสกับน้ำส้มให้คุณผู้หญิงหนึ่งแก้วนะครับ”
หลังจากเขาสั่งเสร็จพนักงานสาวคนนั้นก็หันมามองหน้าหล่อนแล้วอมยิ้มก่อนจะเดินกลับไปที่ร้านทำเอาปริญชยาเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาเพราะคิดว่าอาจจะถูกเข้าใจผิด จึงหันไปถลึงตาใส่เขาทันที
“ก็ฉันบอกว่าอิ่มแล้วไง”
“รีบๆ กินเถอะน่า ไหนว่ารีบไปทำงาน” เขาตัดบทเหมือนรำคาญก่อนจะยกกาแฟหอมกรุ่นแก้วนั้นขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์
สุดท้ายหล่อนก็ต้องยอมกินแซนวิชและน้ำส้มที่เขาสั่งให้ คราวนี้ทั้งอร่อยและอิ่ม เมื่อถึงตอนจ่ายเงินรามิลก็จ่ายให้ทั้งหมด หล่อนยื่นเงินให้ เขาก็ไม่รับ เป็นอันว่ามื้อนั้นเลยกินฟรีไป
เมื่อกลับขึ้นไปถึงห้องแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง ปริญชยาเปลี่ยนชุดมาใส่ชุดเดิมและไม่รอช้าที่จะเปิดโน้ตบุ๊กปั่นต้นฉบับนิยายเรื่องใหม่ของหล่อนต่อ อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาประตูห้องก็ถูกเคาะ
ก๊อก!! ก๊อก!!
“มาแล้วๆ ค่ะ”
หล่อนตอบไปอย่างอัตโนมัติแล้วก็นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเขาเร็วนัก เท้าเล็กๆ เดินไปที่ประตูก่อนจะหมุนลูกปิดและเปิดประตูให้ ภาพที่เห็นคือผู้ชายหน้าตาหล่อขึ้นเทพในชุดเสื้อโปโล กางเกงขาเดฟทันสมัย เป็นอีกครั้งที่ปริญชยาตกอยู่ในอาการนิ่งงันเพราะถูกความหล่อของเขาสะกดสายตา
มือใหญ่เอื้อมมาขยับกรอบแว่นหล่อนทำให้ภาพที่เห็นเบลอไปชั่วขณะ หล่อนจึงได้สติแล้วรีบขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทาง
“คุณมีอะไร?” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นหลังอย่างรวนๆ เพราะอดเขินไม่ได้กับกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมราวกับคนรักที่กำลังหยอกเย้ากันแบบนี้
“ผมจะออกไปข้างนอกนะ เลยแวะเอาบทมาให้คุณไปศึกษาก่อน” ว่าแล้วก็ยัดกระดาษปึกหนึ่งใส่มือเล็กๆ ของหล่อน
หญิงสาวก้มลงอ่านคร่าวๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาคมเข้มไหวระริกเมื่อหลุบลงไปจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มสวยที่เผยอขึ้นน้อยๆ อย่างลืมตัว...
“นี่มันบทโทรทัศน์นี่”
“ก็ใช่... ผมอยากรู้ว่าไอ้ที่เขาเขียนว่า ‘กระชากมาจูบอย่างดูดดื่ม’ เนี่ย คุณจะขยายความมันยังไง จูบแบบไหนถึงจะดูดดื่มถึงพริกถึงขิงเหมือนอย่างที่เจ้าของบทประพันธ์ต้องการ”
เขายิ้มใส่ตาและก้มลงมาพูดเสียงแหบพร่าใกล้ใบหน้าหล่อน จนหญิงสาวต้องผงะออกห่างเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์อันร้ายกาจของเขา
“ก็ได้ๆ” หล่อนรับปากอย่างไม่เต็มใจนักแต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อทุกอย่างมันคือหน้าที่ของหล่อน
“ผมไปล่ะ”
“แล้วคุณจะกลับมาไหม” ปริญชยาถามอย่างอดไม่ได้
“อยากให้ผมกลับมาหรือเปล่าล่ะ” เสียงทุ้มถามอย่างมีเลศนัยพลางยักคิ้วเข้มขึ้น หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังทดสอบเสน่ห์ของตัวเองกับหล่อนอยู่แน่ๆ
“มันเรื่องของคุณ” เสียงหวานรีบตอบก่อนจะผลักประตูปิดใส่หน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ