Chapter 8
หลี่ชิงชิงรวมทั้งคนอื่น ๆ ต่างพากันตกใจอย่างมาก เพราะต่างไม่คิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสี่คน ซึ่งมาจากหน่วยรบของนักรบฟีนิกซ์ จะบ้าระห่ำถึงขั้นวิ่งท้าชนพุ่งตรงไปหาศัตรูในทันที ทำเอาร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวอดที่จะนึกถึงสหายรบอย่างพันเอกฟางผิงไม่ได้จริง ๆ ยิ่งหนึ่งในสี่มีคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของอีกฝ่ายด้วย "บ้าบิ่นทั้งครูทั้งศิษย์เลยสินะ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพึมพำก่อนจะหันไปสั่งให้คนอื่น ๆ ตามทั้งสี่ไป รวมทั้งทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนเองด้วย โดยหลี่ชิงชิงรีบใช้ลมปราณพุ่งทะยานไล่หลังกลุ่มปรมัตถ์ ด้านฝั่งพัคคยองต่างตกใจที่โดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าหน้าเจ้าตัว ได้ถูกประทับตราด้วยกำปั้นขวาอันหนักหน่วงจากฝ่ายตรงข้าม ทั้งหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำลาย รวมไปถึงฟันอีกสองถึงสามซี่ที่หลุดออกจากปาก
เมื่อหัวหน้าโดนเล่นงานคนแรก ๆ ส่งผลให้พวกทีเหลือเสียขบวนเพราะทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นโอกาสทองของคณณัฐ์ เขาใช้หอกอาวุธประจำกายของตนพุ่งกระหน่ำทิ่มแทงใส่ทันที ความรวดเร็วในการโจมตีของคณณัฐ์ ไม่เปิดช่องให้ศัตรูได้มีโอกาสตอบโต้ ผ่านไปเพียงครู่เดียวศัตรูทั้งเก้าคนก็ล้มลงไปนอนนิ่ง ปรมัตถ์ได้ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่าคมหอกของสหายรบคนนี้ มันช่างรวดเร็วและทรงพลังตามคำบอกเล่าจริง ด้านปกรณ์วุฒิที่กำลังสู้รบปรบมือทางซ้ายมือของปรมัตถ์ ก็ดูท่าจะไม่มีปัญหาเพราะไม่มีขวานเล่มไหน สามารถฟันโดนผิวเนื้อของเด็กหนุ่มได้ เพราะปกรณ์วุฒิใช้กำไลเหล็กขึ้นมาป้องกันไว้ได้ทัน
"เอานี้ไปกิน !"
ปกรณ์วุฒิซัดหมัดขวาพุ่งไปที่ตัวข้าศึก กำไลเรืองแสงสีทองพุ่งออกจากแขนของเด็กหนุ่ม เข้าโจมตีอัดตรงกลางท้องเต็มแรงพร้อมกับปลิวลอยกระเด็นข้ามซากตลาด จากนั้นปกรณ์วุฒิก็ควบคุมกำไลสีทองของเขา ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศแต่มีโซ่อันเกิดจากพลังไฟธาตุอรุณ เป็นพันธนาการระหว่างแขนของปกรณ์วุฒิกับตัวกำไลเหล็กสีทอง เสี้ยววินาทีนั้นเองเขาก็ควบคุมกำไลทั้งห้าวงฟาดใส่ข้าศึกประดุจเหมือนฟาดแส้ พริบตาเดียวฝ่ายแก๊งขวานซิ่งปลิวกระเด็นคนละทิศละทางแล้ว มองในอีกมุมหนึ่งปกรณ์วุฒิน่าจะต้องการเปิดทางให้กับคนอื่น ๆ ที่ตามหลังมา
"ตรงนี้พวกมันเผาเรียบเลย" คณณัฐ์ร้องบอก "ไปไหนต่อ"
"ด้านในตลาดยังมีร่องรอยว่ายังไม่โดนเผา" ปรมัตถ์ตอบและวิ่งกระโจนตรงไปทางดังกล่าว "ฉันจะเปิดทางให้"
ไม่ว่าเปล่าปรมัตถ์ก็ใช้พลังธาตุวายุสร้างลมหมุนขนาดย่อม และซัดโจมตีใส่ข้าศึกจำนวนสิบกว่าคนที่กรูออกมาจากด้านในตลาด ซึ่งเป็นส่วนที่ยังไม่โดนเผาและเขาเชื่อว่า มันต้องมีหลักฐานในการเอาผิดสุธนกับสุทัศน์ได้แน่นอน หลังจากที่ปรมัตถ์เปิดทางให้คนที่ตามมาทีหลังแล้ว พอดีกับพวกศัตรูทยอยออกมาเพื่อขัดขวางพวกเขา "ข้างในนั้นต้องมีอะไรสำคัญแน่" สิบตรีหานเทียน หนึ่งในทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวกล่าวขึ้น ด้านจ่าสิบเอกซูหลงปาที่ได้แอบส่งโดรนบินขนาดเล็กเข้าไปสำรวจด้านใน พร้อมกับบันทึกภาพต่าง ๆ ส่งกลับมาที่หน้าจอตรงสนับแขนของเขา ปรากฏเป็นภาพจากสถานที่ด้านใน โดยแต่ละภาพที่ได้มาล้วนเป็นหลักฐานสำคัญทั้งสิ้น
แต่ที่จ่าสิบเอกซูหลงปากังวลคือในห้องหนึ่งที่มันใช้ในการผ่าอวัยวะคน ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่มันอาจเสี่ยงเกินไปเพราะพวกมัน คงทำทุกวิถีทางไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าไปในส่วนนั้นได้ ทว่าในจังหวะนั้นเองที่บุญธรหันมาทางร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว "ตรงส่วนที่จ่าซูเจอเมื่อครู่ ผมขออาสาไปที่นั้นครับ" เขาพูดแค่ให้คนในทีมได้ยินเท่านั้น แน่นอนว่าร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวปฏิเสธ "ไม่ได้ ! นายห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด" จากนั้นก็สั่งให้ทหารห้าคนนำโดย สิบเอกแอนโทนี ขนาดเดียวกันปกรณ์วุฒิก็อาสาจะไปด้วย จึงกลายเป็นเจ็ดคน
"งั้นตรงลานกว้างนี้ให้ทีมผมจัดการ" จ่าสิบเอกแลนเดนพูดผ่านวิทยุหลังร้อยโทกู้เจิ้นหนานบอกแผนการรบ
"นายชื่อปรมัตถ์ใช่ไหม" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวหันมาถามเด็กหนุ่ม
"ใช่ครับ" เขาตอบ
"ช่วยอะไรพวกเราหน่อยสิ"
"ครับ"
"ไปเคาะประตูให้หน่อย"
"จัดให้ครับ"
ปรมัตถ์ใช้ลมพายุอันเกิดจากพลังควบคุมวายุ ทำการแหวกทางตรงกลางกลุ่มศัตรูให้แยกจากกัน แล้วเหลือไว้แค่เส้นทางตรงกลางที่เปิดทางให้ทีมร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวฝ่าเข้าไปได้ "ไป !" สิ้นคำสั่งทุกคนพากันเร่งฝีเท้าวิ่งไปทางเข้าที่อยู่ตรงหน้าทันที ขณะที่จ่าสิบเอกแลนเดนได้สั่งให้ทุกคนเตรียมตะลุมบอน หลี่ชิงชิงได้แต่มองแผ่นหลังของปรมัตถ์ที่เข้าไปด้านในของตลาดแล้ว เธอไม่อาจตามเขาไปได้เพราะอยู่คนละทีมจึงทำได้แค่ภาวนาขอให้เด็กหนุ่มปลอดภัย หลังทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวหายเข้าไปด้านในแล้ว จ่าสิบเอกแลนเดนจึงสั่งให้ทหารในทีมทุกคนเข้าตะลุมบอนประจัญบานกับศัตรูทันที
++++++++
เสียงการสู้รบด้านนอกทำให้วลาดีมีร์แทบนั่งโซฟาไม่ติด ต่อให้ตอนนี้จะมีสาว ๆ สวย ๆ พร้อมให้ซุกอกเต็มที่ หรือมีเหล้าราคาแพงเฉียดล้านวางตรงหน้าสี่ถึงห้าขวด ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจจากนักธุรกิจหนุ่มตอนนี้ได้ ความหวาดวิตกพุ่งเข้าเล่นงานจนมือไม้สั่นไปหมด แต่วลาดีมีร์ก็พยายามข่มมันไว้ด้วยการสูบบุหรี่ เพราะแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่อหน้าใคร โดยเฉพาะ พัคคยองอุน ลูกน้องคนสนิทของโอโตฮวาที่ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองตน สำหรับวลาดีมีร์แล้วชายผมเกรียณสั้น ผิวสีแทนเข้มที่เต็มไปด้วยบาดแผลตามร่างกาย มันก็เป็นไอ้โรคจิตเหมือนเจ้านายมันไม่มีผิด เสพติดการฆ่าและทรมานคนอย่างสนุกสนาน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วว่าสุธนจะให้คนโรคจิต ที่อารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างพัคคยองอุน มาทำหน้าที่คุ้มกันอันตรายแบบนี้ ใจวลาดีมีร์นึกภาวนาอย่างเดียวคืออย่าให้มันเกิดบ้าก่อนเวลาอันควร มันคงเป็นความอัปยศมากสำหรับเขาแน่ หากเขาต้องตายเพราะความบ้าของพวกเดียวกัน ไม่นานก็มีสมาชิกแก๊งขวานซิ่งคนหนึ่ง เดินเข้ามากระซิบข้างหูพัคคยองอุน เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้มันเผยรอยยิ้มอันโรคจิตออกมา พัคคยองอุนลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับขวานสองเล่ม มันหันมาทางวลาดีมีร์เล็กน้อย พัคคยองอุนรู้ถึงความกลัวที่อีกฝ่ายมีต่อมันได้ ทว่าตัวมันก็ไม่ได้แยแสอยู่แล้ว
"คุ้มกันคุณกุนเธอร์ให้ดีล่ะ" พัคคยองอุนสั่งลูกน้องก่อนจะหันไปโค้งคำนับวลาดีมีร์ "ที่นี้คุณจะปลอดภัยแน่นอนครับ ผมรับรอง"
วลาดีมีร์เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก "เดี๋ยวก่อน... แล้วที่คุณสุธนบอกจะส่งคนมารับน่ะ เมื่อไหร่"
พัคคยองอุนไม่ตอบคำถามวลาดีมีร์กลับเลือกเดินจากไป ยิ่งสร้างความหวาดระแวงให้กับเจ้าตัวมากขึ้น เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงว่าตนจะถูกแก๊งขวานซิ่งตัดหางปล่อยวัด วลาดีมีร์จึงคิดออกแค่อย่างเดียวคือต้องหาทางออกไปจากที่นี้เอง
ทางฝั่งของทีมร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวที่ตอนนี้บุกเข้ามาด้านในแล้วพบว่า บริเวณนี้มันได้ถูกแบบให้เป็นบาร์เหล้าขนาดย่อม ซึ่งคนละอย่างกับด้านนอกที่เป็นตลาดโดนสิ้นเชิง สิบตรีโกอึยซองบอกกับทุกคนว่าเหล้าในนี้ มีราคาอย่างต่ำขวดละแปดหมื่นรูริก (เงินไทย = สองล้านสี่แสนบาท) สาเหตุที่ทำไมเขารู้เพราะพ่อบุญธรรมทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มมึนเมา
"ถ้าเป็นบาร์ทั่วไปฉันอาจไม่สงสัย" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานมองไปที่เคาร์เตอร์ "แต่สำหรับที่กรณียกเว้น ไปตามหาวลาดีมีร์กัน"
นาทีนั้นเองที่ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงใช้พลังปราณซัดฝ่ามือไปที่ด้านหลังของร้อยโทกู้เจิ้นหนาน พลังปราณอัดกระแทกกลางท้องของสมาชิกแก๊งขวานซิ่ง ที่คิดจะลอบกัดร้อยโทกู้เจิ้นหนานทางด้านหลัง และไม่กี่นาทีต่อมาบรรดาเหล่าศัตรูก็โผล่มา รุมล้อมกลุ่มร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและโจมตีพร้อมกัน หวังให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวไม่ได้ พริบตานั้นเองที่ร้อยโทกู้เจิ้นหนานร้องตะโกนขึ้นว่า "ทุกคน อุดหู" ทุกคนในทีมต่างทำตามยกเว้นคณณัฐ์กับปรมัตถ์ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอุดหู
สามนาทีต่อมาสองหนุ่มก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมทุกคนต้องรีบอุดหู เพราะร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวได้รวบรวมพลังปราณไว้ที่ท้อง และเปร่งเสียงตะโกนก้องกังวานจนแก้วหูถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นได้ซัดร่างเหล่าแก๊งขวานซิ่งปลิวกระเด็นไปคนละทิศละทาง ส่วนปรมัตถ์กับคณณัฐ์ถึงกับมึนหัวทรุดลงนั่งกับพื้น ทั้งสองมีอาการไม่ต่างจากคนเมาเลย และตอนนี้พวกเขารู้ถึงพิษสงของ ราชสีห์คำราม โชคดีหน่อยที่ทั้งคู่ไม่ได้รับผลร้ายแรงมาก เพราะมีพลังฟีนิกซ์คุ้มครองปกป้องอยู่ มิฉะนั้นคงมีสภาพเเบบเดียวกับศัตรู
บางคนที่โดนเข้าไปก็มีเลือดออกจากรูหู แสดงให้เห็นถึงการทำลายล้างของกระบวนท่านี้ ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวปรับลมปราณให้คงที่อีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางปรมัตถ์กับคณณัฐ์ "บอกแล้วใช่ไหมว่าให้อุดหู บาดเจ็บตรงไหนไหม" แม้เธอจะตำหนิทั้งสองแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกัน ตามวิสัยของหัวหน้าทีม ทว่าในจังหวะที่เธอหันหลังคุยกับลูกทีม ร้อยโทกู้เจิ้นหนานก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่แผ่จิตสังหารมาทางร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว "อันตราย !" ทหารหนุ่มพุ่งตัวเข้าประชิดหัวหน้าทีมด้วยการใช้มือซ้าย ดึงตัวร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวไปด้านหลัง
และใช้ง้าวอันเป็นอาวุธประจำกายของร้อยโทกู้เจิ้นหนาน ปัดป้องของมีคมที่คิดลอบกัดร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ครู่ต่อมาในมุมมืดของบาร์ก็มีเสียงหัวเราะชวนน่าขนลุกดังขึ้น และไม่นานเจ้าของเสียงก็ปรากฏขึ้น ปรมัตถ์สังเกตเห็นว่าอาวุธของอีกฝ่ายเป็นขวานคู่ก็จริง แต่ที่ต่างออกไปคือมันถูกดัดแปลงให้สามารถโจมตีระยะไกลได้ด้วย เพราะเขาเห็นโซ่ตรงตัวขวานทั้งสอง
"พัคคยองอุน..." ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพูดกัดฟัน "ไอ้โอโตฮวาให้ไอ้บ้านี้คุมกันวลาดีมีร์สินะ"
"มันคือใครครับ" คณณัฐ์ถามหลังหายมึนแล้ว
"ลูกน้องมือหนึ่งของโอโตฮวา โรคจิตใช้ได้เลยล่ะ"
"แค่เสียงหัวเราะก็กินขาดแล้วครับ"
พัคคยองอุนไม่ปริปากพูดอะไรนอกจากโบกมือของมันขึ้นเหนือศีรษะ "ฆ่ามัน !"
++++++++++