Chapter 5
หกอัศวิน ไม่เคยมีใครเห็นจริงแม้แต่กับหกอัศวินด้วยกันเอง จุดเด่นของทั้งหกคือมีพาหนะคือมอเตอร์ไซค์มีธงอัศวินสีต่าง ๆ ปักอยู่ท้ายรถ และยังสวมหมวกกันน็อคที่แต่ละคนไม่เคยคิดจะถอนมันออกมาเลย ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของทั้งหกยกเว้นนามที่คนพวกนี้เรียกขานเอง ฝั่งของกองปราบปรามอาชญากรก็รู้แค่ว่า หกอัศวินคือลูกน้องในสังกัดของเฉินเย่วถิงเท่านั้นซึ่งเบาะแสแค่นี้มันยังไม่เพียงพอ ภายหลังทีมสืบสวนพิเศษเข้ามาช่วยงานในการสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ในช่วงแรกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหกอัศวินระวังตัวกันมากไม่เผยช่องโหว่แม้แต่น้อย ส่งผลให้ทีมสืบสวนใช้เวลานานเกือบเป็นเดือนในการค้นหาข้อมูลของพวกมัน ถึงแม้หกอัศวินจะไม่ใช่ระดับปลาใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญก็จริง ทว่ามันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหกอัศวินเป็นศัตรูที่สร้างความเสียหายไว้มากแก่ตำรวจมือปราบ ด้วยความอดทนอดกลั้นต่อการหาเบาะแสต่าง ๆ จนในที่สุดมันก็สัมฤทธิ์ผล หลังจากที่สายสืบแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเด็กส่งยาภายใต้การดูแลของหกอัศวิน ได้นำเบาะแสของพวกมันมาให้กับทีมสืบสวนในทันที
หัวหน้ากลุ่มคือ อัศวินดำ จุดเด่นคือเครื่องแต่งกายตั้งแต่เสื้อและกางเกงรวมไปถึงหมวกกันน็อค ล้วนเป็นสีดำสนิททั้งสิ้นไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าของอัศวินดำ ด้านนิสัยใจคอส่วนตัวอัศวินดำเป็นพวกไม่กินไม่ดื่มและไม่สนใจเรื่องเสพกามรมณ์กับสาว ๆ เหตุเพราะไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ใบหน้าใต้หมวกกันน็อค เรียกได้ว่าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากข้อมูลสำคัญอีกข้อนั้นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างอัศวินดำกับมือสังหารที่อยู่ในบัญชีดำจับตายของกองปราบปรามอาชญากรรม ฮัมดี มัดบูลี เจ้าของฉายา มารบดกระดูก เพราะนิสัยที่ชอบทรมานเหยื่อด้วยการบดขยี้กระดูกเป็นชิ้น ๆ ยังไม่มีใครสามารถจัดการกับมันได้ ฮัมดีจะชอบหายตัวไปในเงามืดทันทีที่ลงมือสังหารเสร็จ ในตอนแรกยังไม่มีใครปักใจเชื่อจนกระทั่งได้เห็นวิธีการของอัศวินดำ ก็มีความคล้ายคลึงกับมารบดกระดูกไม่ใช่น้อย คนต่อมา อัศวินขาว รองหัวหน้ากลุ่มเป็นคนที่อัศวินดำไว้วางใจมาก จุดเด่นคือเครื่องแต่งกายกับหมวกกันน็อคสีขาวล้วน ทักษะการต่อสู้มือเปล่าแทบจะสูสีกับอัศวินดำเลยก็ว่าได้ แถมมันทั้งสองยังเป็นสมุนที่เฉิงเย่วถิงไว้ใจ
คนที่สาม อัศวินแดง จุดเด่นคือเครื่องแต่งกายกับหมวกกันน็อคสีแดง อาวุธประจำกายของอัศวินแดงคือขวานคู่อันเป็นโลโก้ของแก๊งขวานซิ่ง แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันตรงใบขวานมีรอยหยักอันแหลมคม ซึ่งหากโดนขวานของมันเฉือนไปละก็บาดแผลคงสาหัสไม่ใช่น้อย ๆ ตามข้อมูลที่ได้มาอัศวินแดงออกแบบให้ขวานมีลักษณะคล้ายเหมือนใบเลื่อย ที่สำคัญมันยังมีนิสัยโรคจิตชอบทรมานเหยื่อให้เสียเลือดช้า ๆ อีกด้วย วีรกรรมหนึ่งอยู่ในแฟ้มอาชญากรรมที่ส่งผลให้ทำไมอัศวินแดงถึงถูกขึ้นบัญชีดำ เพราะมันเป็นพวกชอบเสพกามมารมณ์ในเด็กสาวมันจะชอบให้ลูกสมุนไปลักพาตัวเด็กสาวมาเสพกามให้อำใจ พอเสร็จธุระแล้วก็จะส่งไปที่ซ่องโสเภณีหรือไม่ก็ขายในตลาดมืด คนที่สี่ อัศวินเขียว จุดเด่นจุดเด่นคือเครื่องแต่งกายกับหมวกกันน็อคสีเขียว ขวานคู่ของมันสามารถโจมตีระยะไกลและโจมตีเป็นวงกว้างได้ เพราะอัศวินเขียวจะใช้พลังแฝงสร้างโซ่ผูกไว้ที่ด้ามขวานเพื่อใช้ในการต่อสู้กรณีถูกรุม วิธีดังกล่าวอัศวินเขียวเคยใช้ในตอนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมจับ ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไปจำนวนมาก
คนที่ห้า อัศวินสีคราม จุดเด่นจุดเด่นคือเครื่องแต่งกายกับหมวกกันน็อคสีคราม อาวุธประจำกายคือเคียวสองเล่มอันแหลมคม เป็นลูกเบ้ให้กับอัศวินเขียวอยู่เสมอ และคนสุดท้าย อัศวินเหลือง ฉายา จอมควักหัวใจ เพราะมันชอบควักหัวใจของอีกฝ่ายออกมาเพื่อข่มขวัญฝ่ายต่อต้าน เรียกได้ว่ามันโรคจิตไม่แพ้อัศวินแดงแต่กลับไม่ค่อยถูกกัน แถมมีบางครั้งที่มันสองคนหันมาทะเลาะกันเองก็มี และตอนนี้พวกมันทั้งหกคนคือศัตรูที่พันตำรวจเอกมาซอกโดกับทีมตำรวจต้องสู้เพื่อถ่วงเวลาให้กำลังเสริมมาถึง
++++++++++++++++++++
พันตำรวจเอกมาซอกโดและคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมที่จะสู้ตายกับหกอัศวินและพรรคพวก ด้านฝั่งอัศวินดำที่ดูจะสนใจพันตำรวจเอกมาซอกโดอยู่ไม่น้อย "ไอ้หมีควายตัวนั่นคือใคร" อัศวินดำหันไปถาม ไอ้เจ ลูกน้องจากแก๊งเด็กส่งยา ซึ่งไอ้เจรีบตอบทันควันว่า "ลูกพี่ครับ ไอ้หมีควายนั่นมันชื่อสารวัตรใหญ่มาซอกโด มันมักคอยขัดขวางการขนยาของพวกผมตลอด" ไม่นานก็มีเสียงด่าทอดังมาจากฝั่งด้านหลังของกลุ่มพันตำรวจเอกมาซอกโด "ไอ้ลูกสารเลว ไอ้ชิงหมาเกิด แกทำอย่างนี้ได้ยังไง ฉันเลี้ยงแกมาไม่ดีหรือไง" สิบตำรวจตรีพรชัยหันมาข้างหลังพบว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงวัยกลางคนที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดิน อันเกิดจากการวิ่งหนีตายจากสงครามระหว่างตำรวจกับแก๊งอาชญากร จันทร์ศรี ผู้เป็นแม่แท้ ๆ ของไอ้เจมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียว ด้วยความรู้สึกที่ผิดหวังและโกรธเกรี้ยวมากกับการที่ไอ้เจหันไปเข้ากลุ่มคนไม่ดี แน่นอนว่าไอ้เจในตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องถูกหรือผิดอีกต่อไป บัดนี้กลับโกรธจนหน้าแดงแถมยังตะโกนด่ากราดกลับไปทันที
"หุบปากของมึงไปเลย อีแก่ !" ไอ้เจตวาดลั่น "ประเดี๋ยวกูตบปากฉีกมึงแน่"
จันทร์ศรีมีสีหน้าตกใจอย่างมากเพราะไม่คิดว่าลูกชายของตนจะมีพฤติกรรมที่หยาบช้าเพียงนี้ อย่างไรก็ตามพันตำรวจเอกมาซอกโดหันมาบอกให้อีกฝ่ายหลบไปอยู่ด้านใน ซึ่งมีพลเรือนสองคนมาช่วยกันพาร่างจันทร์ศรีที่ดูจะช็อกอยู่กลับเข้าไปด้านในหมู่บ้าน อัศวินดำยืนมองปราการของฝ่ายศัตรูครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมพลังไฟธาตุรัตติกาลไว้ที่หมัดขวา พันตำรวจเอกมาซอกโดเบิกตาโตกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของศัตรู จึงไม่รอช้ารีบใช้พลังไฟธาตุอรุณสร้างกำแพงบาเรียขึ้นมาป้องกัน ตรงจังหวะที่คลื่นไฟสีดำพุ่งออกจากหมัดขวาของอัศวินดำ และตรงอัดเข้ากระแทกบาเรียสร้างแรงสั่นสะเทือนตามด้วยลมแรงพัดกระทบใบหน้าฝั่งพันตำรวจเอกมาซอกโด บาเรียไฟธาตุอรุณยังทนทานได้อยู่ทว่าตัวของพันตำรวจเอกมาซอกโดรู้ดีว่าหากอัศวินดำโจมตีซ้ำอีกระลอก บาเรียคงแตกอย่างแน่นอนและมันก็เป็นอย่างที่ตนคิด เมื่ออัศวินดำออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังกึกก้องว่า "บุก !" สิ้นคำสั่งบรรดาเหล่าลูกสมุนหลายสิบคนต่างดึงอาวุธประจำกายออกมา ซึ่งก็ถือขวานคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งและพร้อมกันใจวิ่งเข้าจู่โจมทันที
"ตำรวจทุกนาย ! เตรียมตัวปะทะ" พันตำรวจเอกมาซอกโดตะโกนออกคำสั่ง พอดีกับที่กลุ่มไอ้เจและสมุนจากแก๊งขวานซิ่งวิ่งเข้ามาพยายามใช้ขวานในมือทุบเกราะป้องกันของพันตำรวจเอกมาซอกโดสร้างไว้ "เกราะนี้อีกไม่นานต้องแตกแน่ เพราะฉะนั้นถ้าฉันนับถึงสาม... กระทืบพวกมันให้ยับ !"
"รับทราบ" ตำรวจมือปราบในสังกัดต่างขานรับแม้จะมีความหวาดหวั่นอยู่ในใจก็ตาม แต่ชีวิตของพลเรือนอีกนับสิบที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งทำให้พวกเขาพร้อมสู้ตายเพื่อปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์
พันตำรวจเอกมาซอกโดเห็นสีหน้าของตำรวจในทีม ก็หันหน้าไปทางพวกศัตรู
"หนึ่ง...."
เกราะป้องกันเริ่มปรากฏรอยร้าวขึ้นจากการถูกคมขวานหลายอันที่ทั้งทุบและฟันกระแทกต่อเนื่อง
"สอง...."
เกราะป้องกันเริ่มปริแตกออกเรื่อย ๆ
"สาม !"
เกราะป้องกันแตกพร้อมกับพันตำรวจมาซอกโดกระโดดถีบขาขวา อัดเข้าใบหน้าของศัตรูไปหนึ่งคนตามด้วยกลุ่มร้อยตำรวจตรีหม่าเติงเหอ ที่บุกเข้าปะทะกับฝ่ายศัตรูอย่างไม่เกรงกลัวด้านฝั่งหัวหน้าทีมที่มีอาวุธประจำกายคือ ปืนลูกซองแฝดสั้นและดาบเล่มสั้นเหมาะมือ ซึ่งพันตำรวจเอกมาซอกโดมีรูปร่างตัวใหญ่กำยำแต่ก็มีความว่องไวมาก ส่งให้ไม่มีขวานของฝ่ายแก๊งขวานซิ่งระคายผิวเนื้อของเขาได้เลย ตรงกันข้ามฝั่งสารวัตรใหญ่แห่งกองปราบปรามกลับสามารถจัดการพวกมันได้เกือบทั้งหมด เป็นการตัดกำลังฝ่ายศัตรูได้อย่างดีในขณะที่สิบตำรวจตรีพรชัยกับคนอื่น ๆ วิ่งท้าชนกับพวกไอ้เจอย่างเอาเป็นเอาตาย ไอ้เจใช้ขวานในมือพยายามจะฟันร่างของสิบตำรวจตรีพรชัย ทว่าตำรวจหนุ่มยังสามารถหลบหลีกได้ทันท่วงที และหันมาโต้กลับด้วยไม้ศอกอาวุธประจำกายของตำรวจหนุ่ม ไอ้เจหลบทันทำให้ไม้ศอกไปโดนลูกน้องของมันแทน
"ตายยากนะมึง !" ไอ้เจร้องลั่นด้วยความเจ็บใจ
สิบตำรวจตรีพรชัยใช้ไม้ศอกยกขึ้นมากันขวานของไอ้เจทัน "เจ ! อย่าทำแบบนี้นายมีดีกว่าที่จะเป็นคนส่งยานะเพื่อน"
"หุบปาก !"
ไอ้เจไล่ฟันใส่ตำรวจหนุ่มอย่างคลุ้มคลั่งในขณะที่สิบตำรวจตรีพรชัย ทำได้แค่หลบหลีกเท่านั้นซึ่งมันทำให้ สิบตำรวจตรีโจ ที่เพิ่งจัดการกับสมุนของไอ้เจไปสี่คนหันมาเห็น ก็รู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจที่ทำไมเพื่อนคนนี้ยังใจอ่อนอยู่ได้ ตำรวจหนุ่มไม่รอช้ารีบวิ่งตรงเข้าไปหาไอ้เจและเหวี่ยงลูกเตะซ้ายเข้าที่ข้อพับขา เล่นเอาไอ้เจตัวง้อลงทรุดลงนั่งแต่ก็ไม่ยอมล้มง่าย ๆ ฝั่งสิบตำรวจตรีโจได้โอกาสเหมาะยกดาบขึ้นหมายจะฟันศัตรูในดาบเดียว ทว่าสิบตำรวจตรีพรชัยกลับเอาตัวพุ่งกระแทกสิบตำรวจตรีโจ ทำให้คมดาบยังไม่ได้พิพากษาไอ้เจอย่างที่มันควรได้รับ "อย่านะโจ !" สิบตำรวจตรีพรชัยร้องห้ามขณะที่สิบตำรวจตรีโจพยายามจะไล่ล่าไอ้เจ ที่พอได้โอกาสเหมาะก็รีบลุกวิ่งหนีในทันทียิ่งทำให้ตำรวจตรีโจโกรธมากจนหันมาเหวี่ยงหมัดใส่หน้าสิบตำรวจตรีพรชัยจนล้มไปนอนกับพื้น เลือดไหลออกจากปากลงเปื้อนพื้นที่คลุกไปด้วยฝุ่น
"แกนั่นแหละที่ต้องหยุด ไอ้พร !" สิบตำรวจตรีโจตวาดลั่น "ไอ้เจ มันไม่ใช่เพื่อนของเราอีกต่อไปแล้วนับตั้งแต่มันไปเข้าพวกกับแก๊งขวานซิ่ง ขนาดแม่ของมันเองมันยังไม่เห็นหัวแล้วนับประสาอะไรกับแกที่เป็นตำรวจว่ะ !"
"แต่..." สิบตำรวจตรีพรชัยยังพูดไม่จบก็ถูกตัดบทก่อน
"แกเป็นตำรวจแล้วนะเว้ย ไอ้พร อย่าลืมหน้าที่สิ !" สิบตำรวจตรีโจกระชากเสื้อเพื่อนขึ้นมาตวาดใส่เพื่อเรียกสติ "โจรกับตำรวจมันเป็นเพื่อนกันได้ด้วยเหรอ ไอ้เจมันฆ่าคนไปมากแค่ไหนแล้วเคยรู้บ้างไหมว่ะ"
บึ้ม !
เสียงระเบิดดังขึ้นจากทางขวามือของตำรวจหนุ่มทั้งสอง มันคือสัญญาณอันตรายที่บอกแก่พวกเขาว่าหกอัศวินลงสนามรบแล้ว
++++++++++++++++++++++++++