Chapter 3
อาคารประชุมใหญ่ศูนย์บัญชาการใหญ่ กองพันฟีนิกซ์
หลังจากที่หยุดพักมาได้สามวันปาร์คซูโฮตัดสินใจเดินทางมายังศูนย์บัญชาการใหญ่ พันตำรวจเอกปาร์คยอกูเป็นคนตัดสินใจขับรถมาส่งเขาก่อนจะขับไปทำงานต่อ ปล่อยให้เด็กหนุ่มเดินเข้าอาคารไปคนเดียวเพื่อรายงานตัวต่อ พันเอกฟางเหยียน ผู้เป็นทั้งหัวหน้าและอาจารย์ของเขา ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนที่จะได้ร่วมทีมทำภารกิจที่มีพันเอกฟางเหยียนดูแล เหตุผลที่ยุวชนทหารและทหารหลายคนอยากสังกัดกับพันเอกฟางเหยียนหรือ พันเอกฟางผิง น้องชายฝาแฝดมันก็เพราะทั้งสองเป็นนักรบฟีนิกซ์ที่ได้รับตำแหน่ง เทพสงคราม ครั้งแรกที่ปาร์คซูโฮได้เจอกับเทพสงคราม คือตอนที่ผ่านการคัดเลือกและได้สังกัดทีมอีวิลลอร์ด ฯ แถมยังถูกใจฝีมือของปาร์คซูโฮอีกต่างหาก แต่วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องไปทำภารกิจกับฮาจองอูที่พึ่งกลับมาจากสนามรบเพียงหนึ่งวัน เป็นภารกิจแรกที่จะไม่มีพันเอกฟางเหยียนไปกับทั้งสองคน ปาร์คซูโฮเดินมาที่ห้องทำงานส่วนตัวของพันเอกฟางเหยียน และพอเดินเข้ามาก็เห็นฮาจองอูนั่งอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว
"กำลังคิดอยู่ว่านายจะมาถึงตอนกี่โมง" พันเอกฟางเหยียนกล่าวหลังปาร์คซูโฮทำความเคารพเสร็จแล้ว
เด็กหนุ่มเลือกที่จะไม่พูดและเดินมานั่งฝั่งเดียวกับฮาจองอู เมื่อมากันครบแล้วพันเอกฟางเหยียนก็พูดเข้าเรื่องในทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา ตอนนี้ทางรัฐบาลใหม่ที่นำโดย จอมทัพออกัส ปริ้น ลาออน ผู้นำประเทศคนใหม่ได้อนุมัติภารกิจล้างเมืองสะอาด แต่อาศัยแค่กองกำลังตำรวจอย่างเดียวอาจไม่เพียงจึงได้ประสานกับกองทัพ เพื่อจัดการกับพวกแก๊งอาชญากรที่อยู่เบื้องหลังการรับสินบนของรัฐบาลชุดเก่า ตอนนี้กองสืบสวนที่มีทั้งสารวัตรทหารและตำรวจสืบสวนได้รวบรวมหลักฐานต่าง ๆ กลายเป็นว่ามีข้าราชการหลายร้อยชีวิต ที่มีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่นมากมายแถมยังทำผิดกฎหมายร้ายแรงอย่างการค้ามนุษย์เสียเอง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงกฎอัยการศึกทำให้การพิจารณาคดีมีคำพิพากษาโทษเดียว มันก็คือโทษประหารชีวิตส่วนครอบครัวของผู้ก่อความผิดจะถูกริบทรัพย์สิน ลูกหลานที่แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องจะถูกรับโทษด้วยการโดนลดขั้น ข่าวดีอีกอย่างคืออีกไม่นานทหารที่ไปรบก็จะทยอยกลับมาบ้าน คงจะมีตามมาสมทบกับกองปราบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ภารกิจที่ทั้งสองยุวชนทหารต้องไปทำคือที่เมืองเมตน์ซึ่งอยู่ในเขต G-11 ตามข้อมูลที่ได้รับมามันเป็นเมืองที่แก๊งอาชญากรนาม "แก๊งขวานซิ่ง" มีอิทธิพลมากกอปรกับมีการพบหลักฐานว่า สวี่จินหยวน อดีตหัวหน้าแก๊งขวานซิ่งได้ติดสินบนกับข้าราชการหลายคน แถมยังประหัตประหารชีวิตตำรวจมือปราบไปหลายคนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากรายชื่อของสวี่จินหยวนจะอยู่ระดับต้น ๆ ของบัญชีดำรองลงมาจาก เจ้าพ่อทองคำ หัวหน้ากลุ่มฤาษีดำที่อีกไม่นานมันก็คงเตรียมตัวเปิดศึกกับตำรวจแน่ แก๊งขวานซิ่งมีอยู่สองสาขาเนื่องจากสวี่จินหยวนมีทายาทอยู่ห้าคนที่เกิดกับภรรยาคนแรก และทายาทอีกหนึ่งที่เกิดจากภรรยาลับ พันเอกฟางเหยียนจึงนำภาพถ่ายหลายใบมาให้ปาร์คซูโฮและฮาจองอูดู โดยทหารหนุ่มเอานิ้วชี้มาที่ภาพของชายวัยกลางคนที่แม้จะมีอายุมากแล้ว แต่กลับมีร่างกายกำยำแข็งแรงประดุจเหมือนกับหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็ไม่ปาน และชายในภาพถ่ายที่กำลังนั่งสูบซิกก้าบนโซฟาก็คือจินหยวน ตามประวัติที่ตำรวจสืบสวนได้มาซึ่งมีน้อยมากว่าสวี่จินหยวนเป็นผู้อพยพมาจากประเทศยี่หวา เนื่องจากช่วงเวลานั้นประเทศยี่หวากำลังประสบปัญหาสงครามกลางเมือง
สวี่จินหยวนเป็นคนเดียวในครอบครัวที่รอดชีวิตจนมาถึงแผ่นดินใหม่ และเพื่อเอาชีวิตรอดได้ให้ในแต่ละวันส่งผลให้สวี่จินหยวนในวัยแค่สิบห้าปี ก้าวเข้าสู่โลกของอาชญากรรมเริ่มจากลักเล็กขโมยน้อยไปจนถึงส่งขายยาเสพติด กลายเป็นรากฐานให้จินหยวนไต่เต่าขึ้นมาเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในขณะนี้ สาเหตุที่ทำไมจินหยวนถึงใช้ชื่อว่า "แก๊งขวานซิ่ง" มันก็เพราะอาวุธประจำกายของสวี่จินหยวนคือขวานคู่ หลังจากขึ้นเป็นใหญ่ได้สำเร็จสวี่จินหยวนแต่งงานกับ เฉินหย่า หญิงสาวผู้โชคร้ายที่ต้องมาผลิตทายาทให้กับสวี่จินหยวน โดยเธอให้กำเนิดลูกห้าคนแก่สวี่จินหยวน ต่อมาพันเอกฟางเหยียนก็โชว์ภาพของเฉินหย่าในชุดแต่งงาน ฮาจองอูสังเกตเห็นความโศกเศร้าฉายออกมาทางแววตา ตอกย้ำให้ทั้งสองประจักษ์ว่าหญิงสาวรู้สึกทุกข์ทรมานเพียงใด ต่อจากภาพของเฉินหย่าก็เป็นภาพถ่ายของชายวัยฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำ กำลังนั่งดื่มไวน์จากตรงไหนสักแห่งที่น่าจะเป็นภัตตาคารอาหารสุดหรูของเมือง
สวี่ฮั๋ว ลูกชายคนโตของสวี่จินหยวนกับเฉินหย่าได้เลือดชั่วของพ่อมาเต็ม ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้นำแก๊งต่อจากพ่อแต่ทางพันตำรวจโทชาญฉลาดเชื่อว่า แม้สวี่จินหยวนจะลงจากบัลลังภ์แต่ก็ยังมีบทบาทในฐานะที่ปรึกษาของลูกชาย สวี่ฮั๋วมีประวัติด้านความรุนแรงมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นซึ่งคดีที่ดังมากคือใช้คาตานะทำร้ายเด็กนักเรียนคนหนึ่งเสียชีวิต แม่ของผู้เสียชีวิตพยายามเรียกร้องความยุติธรรมแต่ก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายแม่ก็ได้นำร่างของลูกไปฝังไว้ที่สุสานตั้งอยู่ในย่านคาเมฮา "ไอ้สารเลวเอ้ย" ฮาจองอูเผลอสบถออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ พันเอกฟางเหยียนจึงไม่ถือสาเพราะตนเองก็สบถแบบนี้มาเหมือนกันตอนรับข้อมูล ภาพถ่ายต่อมาเป็นภาพของชายวัยฉกรรจ์อีกคนแต่กำยำกว่าสวี่ฮั๋ว แถมยังมีส่วนสูงมากกว่าด้วยซ้ำหากแต่ชายคนนี้ดูจะมีความเคารพยำเกรงต่อสวี่ฮั๋วพอสมควร
สวี่หลงซี่ ลูกชายคนที่สองดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าแก๊งขวานซิ่ง มักจะออกงานแทนพี่ชายอยู่เสมอและที่สำคัญทางสายสืบยังมีการส่งคำเตือนมาด้วยว่าให้ระวังชายคนนี้ให้ดี โดยข้อมูลยังระบุด้วยว่าสวี่หลงซี่ไม่มีอาวุธประจำกายแต่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก มีพยานอ้างว่าเคยเห็นอีกฝ่ายฆ่าตำรวจมือปราบด้วยมือเปล่ามาแล้ว ทว่าในส่วนตัวของพันเอกฟางเหยียนคนที่ควรระวังคือตุลาการซ้ายกับขวามากกว่า จากนั้นก็ยื่นภาพถ่ายสองใบให้ปาร์คซูโฮกับฮาจองอูดู ตุลาการฝ่ายขวาของแก๊งขวานซิ่งคือ สวี่เทียน เป็นไอ้โรคจิตขนานแท้ มันชอบใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่สับร่างของศัตรูเป็นชิ้น ๆ เพื่อสนองความสะใจของตนเอง ตุลาการฝ่ายซ้ายคือ สวี่จั๋ว เคยใช้ขวานคู่เป็นอาวุธแต่อาวุธได้รับความเสียหาย จึงหันมาใช้ลูกตุ้มเหล็กติดหนามคู่มาใช้แทน
"เดี๋ยวก่อนสิครับ" ฮาจองอูสงสัยหลังดูภาพถ่าย "สวี่จินหยวนมีลูกห้าคนกับเฉินหย่า แต่ทำไมมีแค่สี่คน"
พันเอกฟางเหยียนยื่นภาพถ่ายอีกใบมาเป็นภาพหญิงสาวคนหนึ่ง "นี้ไงลูกคนที่ห้า สวี่ชิงหยู่ ที่ดูจะเป็นแกะขาวในหมู่แกะดำ เฉินหย่ายอมสละชีวิตเพื่อพาลูกสาวหนีจากการโดนจับแต่งงานกับ เย่ซื่อตง ทายาทของแก๊งฉลามมังกร"
"แล้วเธออยู่ที่ไหนครับ" ปาร์คซูโฮถาม
"อยู่ที่ที่ปลอดภัย" พันเอกฟางเหยียนตอบ ปาร์คซูโฮจึงไม่พูดอะไรต่อ
"แล้วนอกเหนือจากสี่คนนี้แล้ว มีใครที่ผมสองคนควรระวังไหม" ฮาจองอูถาม
"มี" พันเอกฟางเหยียนตอบ "เฉินเยว่ถิง ลูกชายบุญธรรมของสวี่หลงซี หมอนี้อาจเป็นแม่ทัพในการเปิดศึกแรกของพวกเราระวังมันไว้ให้ดี ส่วนเจ้านี้คือ โนมูระ มือสังหารที่มีหน้าที่คอยเก็บกวาดศัตรูของแก๊งขวานซิ่ง"
"แล้วอีกคนละที่เกิดกับภรรยาลับของสวี่จินหยวน ใครละครับ"
"สวี่หมิงล่าง ตอนนี้คุมอำนาจอยู่ที่เมืองโฮรุกแต่ตอนนี้อยู่ในเรือนจำ คนที่ทำหน้าที่แทนคือ ฮวี่เฟิ่ง ลูกชายของมัน"
"แล้วในหน่วยรบพิเศษ มีใครได้รับภารกิจจัดการกับแก๊งขวานซิ่งเมืองโฮรุกครับ"
"ทางเบื้องบนเล็งไว้แล้วล่ะ เห็นว่าเป็นเด็กปั้นของเจ้าฟางผิงน้องชายฉันด้วยนี่" พันเอกฟางเหยียนทำท่าครุ่นคิด "ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ ปรมัตถ์อะไรเนี่ยแหละ อยู่รุ่นสี่ร้อยยี่สิบสี่"
เมื่อให้ข้อมูลครบแล้วพันเอกฟางเหยียนจึงบอกแก่ทั้งสองต่ออีกว่า ทั้งสองมีเวลาเตรียมตัวแค่ครึ่งวันเท่านั้นในการเตรียมตัวและมารายงานตัวที่หน้าศูนย์บัญชาการใหญ่กองปราบปรามอาชญากรรม โดยทั้งสองต้องไปรายงานตัวกับ ร้อยตรีวินเซนต์ กับ ร้อยตำรวจเอกจูยอช็อง ซึ่งสองคนนี้จะเป็นคนให้รายละเอียดของภารกิจเพิ่มเติมเอง ปาร์คซูโฮรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่พันเอกฟางเหยียนไม่ได้มาด้วยเนื่องจากพันเอกฟางเหยียนมีภารกิจต้องไปทำ หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วพันเอกฟางเหยียนก็ให้ทั้งสองคนเก็บที่พักเพื่อจัดกระเป๋า โชคดีของฮาจองอูที่เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่บ้านเนื่องจากในระยะหลัง ฮาจองอูแทบจะไม่ได้กลับบ้านเลยซึ่งปาร์คซูโฮพอจะเข้าใจเพื่อนของเขาอยู่ "จองอู มันผ่านมาหกปีแล้วนะเพื่อน นายยังทำใจไม่ได้อีกเหรอ" ปาร์คซูโฮถามด้วยความเป็นห่วง เขาจำต้องนั่งรถกลับบ้านเพื่อจัดเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนอยู่คนเดียว ฮาจองอูหันมาพูดกับอีกฝ่ายก่อนจะเข้าหอพักแค่ว่า "ฉันไม่เป็นไร"
+++++++++++++++++++++++