Chapter 2
ปาร์คซูโฮ เป็นลูกชายคนกลางของ พันตำรวจเอกปาร์คยอกู กับ คังจีวอน ครอบครัวของเขาเป็นตำรวจมาหลายรุ่น มีไม่กี่คนในตระกูลที่ไปเป็นทหารซึ่งเขากับ ปาร์คจูโฮ พี่คนโตคือหนึ่งในนั้นที่เลือกไปอยู่เหล่าทหาร จึงมีแค่ ปาร์คซอจุน น้องชายคนสุดท้องที่เลือกเป็นตำรวจเหมือนกับพ่อ ภายหลังเมื่ออายุครบเกณฑ์เขาได้รับพรจาก ลูกแก้วฟีนิกซ์ ของศักดิ์สิทธิ์ของประเทศฟรอนเทียร์ โดยลูกแก้วสีทองมอบพรให้แก่เขาส่งผลให้ปาร์คซูโฮกลายเป็น นักรบฟีนิกซ์ และถูกส่งไปฝึกที่กองพันฟีนิกซ์ 000 กระทั่งเพื่อนสนิท ฮาจองอู ชักชวนเขามาสมัครคัดเลือกเข้าหน่วยรบพิเศษอย่าง หน่วยรบฟีนิกซ์ ปาร์คซูโฮจำต้องมาเพื่อตัดความรำคาญในลูกตื้อของเพื่อน เขาจึงยอมตามมาสมัครด้วยและกลายเป็นว่าผลของการทดสอบ ปาร์คซูโฮได้เข้าสังกัดในทีมจู่โจม ทีมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม หนึ่งในหกทีมจู่โจมของหน่วยรบฟีนิกซ์ โดยปาร์คซูโฮกับฮาจองอูอยู่รุ่นที่สี่ร้อยยี่สิบสี่
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของปาร์คซูโฮก็คือพลังทำลายล้างหมัดขวาของเขา โดยผลของการตรวจร่างกายอย่างละเอียดพบว่าท่อนแขนขวาตั้งแต่ฝ่ามือไปถึงช่วงหัวไหล่ มีคุณสมบัติในการดูดซึมไฟธาตุอรุณมากกว่าแขนซ้าย อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สมาชิกรุ่นพี่ในทีมอีวิลลอร์ด ฯ อยากได้ปาร์คซูโฮในสังกัด มันก็เป็นเพราะว่าในช่วงสุดท้ายของการทดสอบทักษะการต่อสู้ ปาร์คซูโฮต้องสู้กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า โฮโมคุส แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ถึงสามสิบนาทีเขาก็สามารถจัดการกับมันได้ ด้วยการใช้หมัดขวาโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและเพราะพลังทำลายล้างที่สูงมาก คังจีวอนจึงได้มอบกำไลหยกสวมไว้ที่ข้อมือข้างขวา เพื่อลดพลังแขนขวาของเขาไว้ครึ่งหนึ่งพร้อมกำชับลูกชายตลอดเวลาว่า หากไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินก็ห้ามถอดกำไลเป็นอันขาด นับแต่นั้นมาปาร์คซูโฮจึงไม่เคยถอดกำไลจนถึงปัจจุบัน
+++++++++++++++++++++++++
ปาร์คซูโฮสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านล่าง ด้วยความสงสัยแม้จะยังไม่ตื่นสนิทดีทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินลงมาตรงด้านล่าง เสียงที่ทำให้เขาตื่นมันดังมาจากห้องนั่งเล่นที่อยู่ไม่ไกลมากนัก คำถามได้รับการเฉลยเมื่อปาร์คซูโฮเดินเข้ามาข้างในและเห็นพ่อของเขากำลังดูข่าวในโทรทัศน์แบบสี่มิติโฮโลแกรม เนื้อหาในข่าวตอนนี้เป็นข่าวสงครามระหว่างกองทัพสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเปรเซียร์ที่ตอนนี้ใกล้จะรู้ผลของสงครามแล้ว เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ปาร์คซูโฮถูกส่งกลับบ้านมาก่อนจึงไม่ทันได้อยู่รอชมสงครามยุติ ใจของเขานึกถึงฮาจองอูเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งน่าจะอยู่ในสมรภูมิสงครามหมู่เกาะและยังไม่มีข่าวใด ๆ ส่งมาถึง [ขอให้นายปลอดภัยกลับมานะเพื่อน] ปาร์คซูโฮภาวนาในใจ ทว่าเนื้อหาข่าวต่อมาก็ดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้มันดูน่าสนใจมากกว่าข่าวก่อนหน้านี้เมื่อ พลตำรวจเอกรูฟิโน่ อามารัล ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อีกไม่นานก็จะเกษียณในปีหน้า โดยพลตำรวจเอกรูฟิโน่ได้ประกาศกร้าวที่จะขอเปิดศึกกับเหล่าแก๊งอาชญากรที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองทั้งหมด
คำแถลงการณ์ของพลตำรวจเอกรูฟิโน่สร้างความฮือฮาให้กับบรรดานักข่าวพอสมควร โดยปฏิบัติการใหญ่ครั้งนี้ตัวพลตำรวจเอกรูฟิโน่เรียกมันว่า "ล้างเมืองสะอาด" และยังเป็นการร่วมมือระหว่างทหารกับตำรวจอีกด้วย เรียกได้ว่านี้อาจเป็นงานหนักและใหญ่พอ ๆ กับศึกด้านนอกในตอนนี้ หัวหอกในการเป็นแม่ทัพครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พันตำรวจโทชาญฉลาด ป้อมเพชร กับ พันตำรวจเอกเฉิงนั่ว สองตำรวจมือปราบที่ใคร ๆ ต่างก็อยากรู้ว่าใครจะได้ตำแหน่ง ผบ.ตร. จากพลตำรวจเอกรูฟีโน่ ครู่ต่อมาพันตำรวจเอกปาร์คยอกูตัดสินใจปิดโทรทัศน์และหันมาเห็นว่าลูกชายยืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว "ลูกตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ซูโฮ ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะ" ฝ่ายเด็กตอบแค่เพียงว่า "ขอโทษครับพ่อ" จากนั้นเขาก็มองไปยังชั้นบนของบ้าน ดูเหมือนแม่ของเขาจะยังไม่ตื่น ด้านพันตำรวจเอกปาร์คยอกูก็ลุกจากโซฟาย้ายไปนั่งในห้องรับประทานอาหาร โดยพ่อได้หยิบอาหารที่ใส่กล่องอย่างดีเพื่อเอามาอุ่นในไมโครเวฟ
"แม่เขาทำอาหารให้ลูกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เผื่อลูกตื่นจะได้มีอะไรกิน" พันตำรวจเอกปาร์คยอกูอธิบาย "มานั่งคุยกันหน่อยสิ"
ปาร์คซูโฮเลือกมานั่งฝั่งตรงข้ามกับพ่อและรับจานอาหารมา เมนูที่คังจีวอนทำให้กับเขาคือต็อกบกกีซึ่งเป็นอาหารที่เขาชอบมาก ๆ ยิ่งถ้ามีรสเผ็ดมาก ๆ เขาก็ยิ่งชอบ ในตอนที่เขาต้องไปรบในฐานะยุวชนทหารที่อยู่ในเกณฑ์ออกรบได้แล้ว เกือบทุก ๆ วันที่ปาร์คซูโฮคิดมาเสมอคือเขาคิดถึงรสชาติอาหารของคังจีวอนมาก ดังนั้นปาร์คซูโฮจึงลงมือยัดต็อกบกกี้เข้าปากในทันที "ค่อย ๆ กินนะ เดี๋ยวก็ติดคอพอดีหรอก" พันตำรวจเอกปาร์คยอกูพูดและชงชาใส่ถ้วยของตนเอง ภายนอกเขาอาจจะดูเคร่งขรึมแต่ความจริงแล้วในวินาทีที่รู้ว่าปาร์คซูโฮกลับมาบ้าน ตนก็ดีใจไม่แพ้คังจีวอนผู้เป็นภรรยาเลยแม้แต่น้อย ลูกคนกลางได้กลับมาบ้านแล้วหลงเหลือแค่ลูกชายคนโตอย่างปาร์คจูโฮ ที่ยังไม่ได้กลับบ้านคาดว่าอาจจะอยู่ถึงสงครามยุติลงก็เป็นได้ ระหว่างที่พ่อลูกกำลังนั่งรับประทานอาหารเงียบ ๆ ก็มีเสียงคนเคาะประตูบ้าน
พันตำรวจเอกปาร์คยอกูยกมือห้ามไม่ให้ลูกชายลุกจากเก้าอี้ "พ่อเปิดเอง" แล้วก็เดินไปยังประตูบ้าน โดยก่อนที่จะเปิดประตูเขาได้เปิดหน้าจอที่ติดอยู่บนบานประตู ปรากฏเป็นชายสองคนในเครื่องแบบตำรวจมือปราบสีดำยืนอยู่ ซึ่งพันตำรวจเอกปาร์คยอกูเห็นแบบนั้นจึงเปิดให้ ร้อยตำรวจเอกโคโกโร่ และ จ่าสิบตำรวจตรีธงรบ สองตำรวจใต้บังคับบัญชาของเขาเข้ามาข้างใน การที่ทั้งสองมาในเครื่องแบบตำรวจแบบนี้คงต้องเกี่ยวกับปฏิบัติการณ์ล้างเมืองสะอาดของผบ.ตร.เป็นแน่แท้ พันตำรวจเอกปาร์คยอกูเชิญแขกมานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก พร้อมสั่งให้ปาร์คซูโฮไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ จากนั้นก็มานั่งฝั่งตรงข้ามกับสองตำรวจหนุ่มด้วยท่าทางเคร่งขรึม ประดุจเหมือนกับว่าตนยังอยู่ที่สำนักงานไม่ใช่ในบ้าน แม้เขาจะมีอายุย่างเข้าสี่สิบกว่าแต่ยังคงสภาพแข็งแกร่งเหมือนหนุ่มฉกรรจ์ ร้อยตำรวจเอกโคโกโร่กับจ่าสิบตำรวจตรีธงรบแทบเทียบไม่ติด
"มีเรื่องอะไรว่ามาเลย ฉันรอฟังอยู่" พันตำรวจเอกปาร์คยอกูถามขึ้น
ร้อยตำรวจเอกโคโกโร่ยังไม่ตอบแต่มองเลยหลังผู้บัญชาของตน "ลูกชายคนโตของสารวัตรยังไม่กลับมาอีกเหรอครับ"
"น่าจะอยู่จนถึงสงครามสิ้นสุด.... อย่าบอกนะว่า ผบ.ตร.อามารัลคิดจะดึงเจ้าจูโฮเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย"
จ่าสิบตำรวจตรีธงรบตำรวจหนุ่มวัยยี่สิบสามพยักหน้าตอบ พร้อมอธิบายว่าเบื้องบนเพ่งเล็งปาร์คจูโฮตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าปาร์คจูโฮยังอยู่ในสงคราม ส่วนปาร์คซอจุนลูกชายคนเล็กยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะรับภารกิจ ก็หลงเหลือแค่ปาร์คซูโฮที่พึ่งกลับจากสมรภูมิรบทว่าสองตำรวจหนุ่มก็ไม่อยากเสนอชื่อปาร์คซูโฮ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจในฝีมือหากแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายพึ่งจะกลับมาบ้าน และคงผ่านช่วงเวลาหลายอย่างจากในสงคราม จึงไม่ค่อยอยากส่งตัวยุวชนทหารไปรับภารกิจที่หนักหนาสาหัสติด ๆ กัน โดยทางพันตำรวจเอกปาร์คยอกูรับรู้ความคิดจากนายตำรวจทั้งสองได้ "ต่อให้นายสองคนไม่เสนอชื่อซูโฮ ทางเบื้องบนก็คงเลือกเขาอยู่ดี" ร้อยตำรวจเอกโคโกโร่กับจ่าสิบตำรวจตรีธงรบสะดุ้งเฮือกเล็กน้อย ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยใจ
"แต่สารวัตรครับ ซูโฮพึ่งกลับมาจากสนามรบเองมันคงไม่..." จ่าสิบตำรวจตรีธงรบยังพูดไม่จบถูกพันตำรวจเอกปาร์คยอกูตัดบทเสียก่อน
"แล้วตอนที่มีการเสนอปฏิบัติการนี้ มีใครคัดค้านผบ.ตร.อามารัลไหม" พันตำรวจเอกปาร์คยอกูถาม
"ไม่เลยครับ" ร้อยตำรวจเอกโคโกโร่ตอบและถอนหายใจ "ส่วนใหญ่พวกตำรวจต่างเห็นด้วยที่ปฏิบัติการล้างเมืองสะอาดได้รับอนุมัติ เพราะต่างก็ต้องการถอนรากถอนโค่นพวกแก๊งอาชญากร โดยเฉพาะแก๊งขวานซิ่งเนื่องด้วยเพราะพวกมันประหัตประหารเพื่อนตำรวจกองปราบไปหลายชีวิต เพื่อนของผมก็พึ่งจะเสียพี่ชายให้กับพวกนั่นด้วย"
"อืม" พันตำรวจเอกปาร์คยอกูทำท่าครุ่นคิด "แก๊งขวานซิ่งของ สวี่จินหยวน สินะ ฉันได้ยินมาว่ามันมีสองสาขานี่ไม่ใช่หรือ"
สองตำรวจมือปราบพยักหน้าตอบพร้อมทั้งอธิบายถึงเนื้อหาต่าง ๆ ให้หัวหน้าของตนฟัง ซึ่งในความคิดของพันตำรวจเอกปาร์คยอกูก็ไม่แปลกใจนัก เพราะในจำนวนตำรวจมือปราบที่ถูกสังหารมี พลโทแมทธิว แอดดิงตัน ลูกเขยของผบ.ตร. แถมยังมี พันเอกกาเวน แอดดิงตัน น้องชายของพลโทแมทธิวก็เข้ามามีบทบาทในการผลักดัน ให้ปฏิบัติการนี้ได้รับไฟเขียวเร็วขึ้นประกอบกับมีฐานสนับสนุนจากเหล่าตำรวจและทหารบางส่วน สุดท้ายทางเบื้องบนจึงยอมไฟเขียวอนุมัติภารกิจนี้ทันที อย่างไรก็ตามพันตำรวจเอกปาร์คยอกูคาดการณ์ไว้ด้วยว่า แก๊งขวานซิ่งที่ตอนนี้ สวี่ฮั่ว ขึ้นมาคุมแก๊งแทนคงจะเตรียมตัวรับมือทำสงครามกับพวกตำรวจ เมืองเมตน์คงได้ลุกเป็นไฟในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน ปาร์คซูโฮเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำเปล่าสองแก้วมาเสิร์ฟให้กับร้อยตำรวจเอกโคโกโร่และจ่าสิบตำรวจตรีธงรบ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่อึดอัดจนอธิบายความรู้สึกไม่ถูก ลางสังหรณ์บอกกับเด็กหนุ่มว่ามันเกี่ยวกับเขา
"พ่อครับ...." ปาร์คซูโฮหันมาทางพ่อที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง "มีอะไรหรือเปล่าครับ"
คำตอบที่ได้ไม่ใช่จากพันตำรวจเอกปาร์คยอกู แต่มันมาจากสีหน้าของสองตำรวจหนุ่มผู้มาเยือน
+++++++++++++++++++++++++