บท
ตั้งค่า

Chapter 10

อัศวินดำปลิวถอยรูดไถลไปกับพื้น แม้จะยังทรงตัวได้แต่ร่างกายกลับรู้สึกชาไปหมด นี้เป็นครั้งแรกที่มันได้เจอกับศัตรู ผู้ที่สามารถไล่ต้อนจนมุมได้ขนาดนี้ที่สำคัญอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะหมัดขวาที่อัศวินดำสัมผัสได้ว่า พลังทำลายรุนแรงมากหากเป็นคนธรรมดาทั่วไป อาจถึงขั้นเสียชีวิตเพราะบอบช้ำภายใน หรืออาจร้ายแรงยิ่งกว่า ทางฝั่งพันตำรวจเอกมาซอกโดกับสองตำรวจอย่าง สิบตำรวจตรีพรชัยและสิบตำรวจโจแม้จะมีแค่สามคน แต่พวกเขาก็สามารถกำราบสมุนของอัศวินได้ทั้งหมด โดยไอ้เจถูกสิบตำรวจตรีโจจับคว่ำและล็อคด้วยกุญแจมือ

"ปล่อยกูนะเว้ย !" ไอ้เจร้องโวยวาย "กูจะเอาคืนพวกมึงให้หมดเลย"

สิบตำรวจตรีโจใช้ฝ่ามือตบหน้าไอ้เจไปหนึ่งครั้ง หน้าของไอ้เจหันไปทางซ้ายมือตามแรงตบ ครู่ต่อมาบริเวณริมฝีปากก็มีเลือดออก

"หุบปากของมึงไปเลย" สิบตำรวจตรีโจกล่าวและจ้องหน้าไอ้เจ "มึงควรใช้ปากตอนที่โดนสอบสวนกับขึ้นศาลจะดีกว่า" 

ด้านอัศวินดำตอนนี้ก็เหลือตัวคนเดียว และคนอย่างมันจะไม่ยอมหนีให้เสียศักดิ์ศรี มันรวบรวมพลังไฟธาตุรัตติกาล เพื่อที่จะเตรียมสู้กับปาร์คซูโฮแบบชี้ขาด รัศมีคลื่นพลังของอัศวินดำรุนแรงมากจนเด็กหนุ่ม สัมผัสถึงความแสบร้อนของมันได้ ในเมื่อมันพร้อมจะชี้ขาดกับเขา มีหรือที่ปาร์คซูโฮจะไม่ขานรับ ไม่นานเขาก็เปร่งพลังไฟธาตุอรุณออกมาข่มไฟธาตุรัตติกาลของอัศวินดำ ไฟสีทองกับไฟสีดำแผ่รัศมีสว่างจ้าทั่วบริเวณนั้น พันตำรวจเอกมาซอกโดที่เหลียวหลังมามอง ก็รู้สึกทึ้งในพลังของหลานชายไม่ใช่น้อย 

ในอนาคตปาร์คซูโฮต้องแข็งแกร่งไม่แพ้พี่ชาย อย่างปาร์คจูโฮแน่นอนส่วนสองตำรวจหนุ่มก็ทึ้งไม่แพ้กัน ทั้งหมดจับจ้องไปที่สองซึ่งกำลังสู้กับเพื่อวัดชี้ชะตา ไม่นานทั้งปาร์คซูโฮและอัศวินดำต่างวิ่งตรงเข้าปะทะกันทันที หมัดแลกหมัดของทั้งสองได้เกิดคลื่นพลังที่แผ่เป็นวงกว้าง ส่งผลให้บริเวณโดยรอบได้รับความเสียหาย บรรดาตำรวจและฝั่งโจรผู้ร้าย (ที่โดนจับ) ต่างต้องรีบหาที่กำบัง ทางด้านปาร์คซูโฮหลังจากแลดหมัดกับอัศวินดำ เขาเซไถลถอยรูดมาชิดกับซากกำแพงหนึ่ง 

ส่วนอัศวินดำเซไปชนกับถังขยะขนาดใหญ่ ในตอนนั้นเองที่สิบตำรวจตรีพรชัย สังเกตเห็นน้ำสีแดงหยดออกมาจากใต้หมวกกันน็อค แสดงให้เห็นว่าอัศวินดำบาดเจ็บภายใน ที่สำคัญหมวกกันน็อคของมันมีรอยร้าวปรากฏขึ้น ซึ่งหากปาร์คซูโฮโจมตีอีกครั้งหมวกกันน็อคอาจพังได้ และจะเป็นการเปิดเผยใบหน้าของมันด้วย ทว่านาทีต่อมาก็มียุวชนตำรวจคนหนึ่ง ร้องตะโกนเสียงอันดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"อัศวินแดงพ่ายแล้ว อัศวินแดงพ่ายแล้ว"

เสียงตะโกนดังกล่าวทำให้อัศวินดำชะงักไปครู่หนึ่ง มันคงไม่คาดคิดว่าอัศวินแดงจะถูกปราบอย่างง่ายดาย เห็นทีมันต้องหาทางล่าถอยกลับ เพื่อรวบรวมคนทีเหลือและกลับมาเอาคืน แน่นอนว่าปาร์คซูโฮอ่านความคิดอีกฝ่ายออก ดังนั้นเขาควรรีบปิดเกมอัศวินดำให้เร็วที่สุด ฉับพลันเขาก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว

"ซูโฮ อันตราย !" พันตำรวจเอกมาซอกโดร้องเตือน แต่ก็ช้าเกินไป

ปาร์คซูโฮถูกโจมตีจากด้านข้างลำตัว แรงอัดกระแทกส่งผลให้ เด็กหนุ่มปลิวกระเด็นไถลกับพื้นไปกระแทกกับเสาต้นหนึ่ง เขาสำลักเลือดออกมาเล็กน้อย และเงยหน้ามองว่าใครคือคนที่เข้ามาขัดขวาง ปรากฏว่าสิ่งที่ทำร้ายเขาเป็นอสูรที่มีร่างกายเหมือนควันสีดำ มันทั้งสูงใหญ่และกำยำมาก หากเทียบกับความสูงปาร์คซูโฮอยู่ตรงกลางท้องมัน เบื้องหลังร่างควันอสูรคือชายวัยฉกรรจ์อายุราว ๆ ยี่สิบปีขค้นไป หรืออาจจะมากกว่านั้น 

ชายคนนี้สวมชุดสูทสีดำสนิทเหมือนกับสมาชิกแก๊งขวานซิ่ง ที่มือทั้งสองถือขวานอันเป็นโลโก้ของแก๊ง ปากคาบบุหรี่ที่เพิ่งจุดไฟใหม่ ๆ พันตำรวจเอกมาซอกโดจำได้จากในบัญชีดำ มันคนนี้มีนามว่า ชินมินอู หนึ่งในสมุนสังกัดของเฉิงเย่วถิง สาเหตุที่ทำให้มันถือว่าเป็นศัตรูที่ไม่ประมาท เพราะมันคือ ชินน็อค ผู้ที่สามารถควบคุมอสูรได้ ซึ่งความสามารถนี้จะเป็นขั้วตรงข้ามกับ อีนิกม่าอัลฟ่า ผู้ที่มีความสามารถควบคุมเทพนักรบหรือสัตว์เทพ สองจำพวกนี้ส่วนมากจะมีพลังแต่กำเนิด หรือถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก

อัศวินดำมองหน้าชินมินอูและใช้แขนเสื้อ เช็ดคราบเลือดที่อยู่ใต้หมวก "นี่คือการต่อสู้ของกู อย่าเสือก !"

ชินมินอูพ่นควันบุหรี่ออกมาและมองด้วยสีหน้าเหยียดหยามใส่อัศวินดำ แน่นอนว่าหากไม่ติดว่ามันได้รับบาดเจ็บ ป่านนี้คงได้ซัดหน้าชินมินอูคาหมัดคาส้นเท้าไปนานแล้ว ด้านปาร์คซูโฮที่พยุงตัวลุกขึ้นยืนได้แล้วก็ตั้งท่าเตรียมสู้ เขามองอสูรที่อยู่ตรงหน้าไม่วางตา

ฝั่งชินมินอูดับขยี้บุหรี่ลงพื้น

"สารรูปมึงตอนนี้ยังจะมาปากดีอีก ถ้าไม่ใช่คำสั่งเจ้านาย" ชินมินอูพูดและถุยน้ำลายลงพื้น "กูไม่เสียเวลามาช่วยหรอก"

"ว่าไงนะ"

อัศวินดำยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ และต่อให้มันเหม็นขี้หน้าชินมินอูแค่ไหน แต่เรื่องนี้ชินมินอูไม่ใช่คนที่จะเอามาล้อเล่นได้ 

"ไปหาอัศวินขาวของมึงสิ มันจะบอกมึงทุกอย่าง" ชินมินอูกล่าว

อัศวินดำไม่อยากละทิ้งการต่อสู้ มันอยากจบบัญชีแค้นกับปาร์คซูโฮ แต่คำสั่งเจ้านายไม่อาจขัดได้ ทว่าถ้าไอ้ศัตรูคนนี้มันเก่งจริงและเอาชนะชินมินอูได้ ในอนาคตมันอาจได้กลับมาแก้มือใหม่ อัศวินดำหมุนตัวหันหลังและวิ่งไปสมทบกับพรรคพวกของมัน ปาร์คซูโฮที่เห็นแบบนั้นก็คิดจะไล่ตาม

"เฮ้ย ! แน่จริงอย่าหนีสิว่ะ" ปาร์คซูโฮร้องตะโกนขึ้น

พอดีกับที่อสูรของชินมินอูพุ่งเข้าโจมตีใส่เด็กหนุ่มด้วยกรงเล็บขนาดใหญ่ ทว่าเดชะบุญเขาก้มหลบทันและสวนกลับด้วยหมัดขวา เพียงการโจมตีครั้งเดียว ร่างอสูรปลิวกระเด็นทรุดลงต่อหน้าชินมินอู สีหน้าอันบิดเบี้ยวปรากฏบนหน้าอีกฝ่าย ที่เป็นแบบนั้นเพราะความรู้สึกเจ็บปวดของอสูร ตัวชินน็อคผู้เป็นเจ้านายก็จะรับรู้ได้เช่นกัน ตามที่ปาร์คซูโฮรู้มาคือถ้าเล่นงานชินน็อคได้ ก็สามารถจัดการอสูรได้เช่นกัน 

"ไม่เลวเลยนี่ ไอ้หนุ่ม" ชินมินอูพูดและก้าวเท้ามาข้างหน้า "ขอดูหน่อยสิว่า มึงจะโค่นอสูรกูได้กี่ตน !"

สิ้นคำควันสีดำก็ออกมาจากตัวชินมินอู ปรากฏเป็นอสูรจำนวนสี่ตน นับตัวแรกด้วยก็จะเป็นห้าตน ปาร์คซูโฮไม่มีท่าทางหวาดกลัวและพร้อมท้าชนกับอสูร ซึ่งชินมินอูยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูไม่กี่คนที่ไม่กลัวอสูร ด้านฝั่งพันตำรวจเอกมาซอกโดก็หยิบอาวุธ เพื้อจะไปช่วยสู้เคียงข้างหลานชาย ตำรวจมือปราบร่างหมีตามด้วยสิบตำรวจโจกับสิบตำรวจตรีพรชัย ก็มาสมทบยืนข้างปาร์คซูโฮ

"นึกว่าจะไม่มาช่วยแล้วเสียอีก" ปาร์คซูโฮพูดทีเล่นทีจริง

"อย่าพึ่งเล่นได้ไหม" พันตำรวจเอกมาซอกโด "ใช่เวลามาพูดแซะกันหรือไง"

"เฮ้อ ลุงเนี่ยไร้อารมณ์ขันจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงโสด" 

"ยังไม่หยุดอีก"

ชินมินอูไม่สนใจการโต้เถียงของสองลุงหลาน มันออกคำสั่งให้เหล่าอสูรเข้าโจมตีใส่กลุ่มปาร์คซูโฮในทันที ทว่ายังไม่ทันที่พวกอสูรจะเข้าถึงตัวสิบตำรวจตรีโจ ก็มีบางอย่างพุ่งชนด้านข้างอสูรที่รูปร่างเหมือนเสือโคร่งสีดำ แรงชนทำให้อสูรตนนั้นปลิวกระเด็นไปชนกับอสูรตนอื่น ซึ่งทุกคนต่างต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง เพราะสิ่งที่ช่วยสิบตำรวจตรีโจไว้ มันคือควายร่างใหญ่กำยำที่มีรอยสักอักขระเรืองแสงสีทอง

"ควายธนูนี่" 

ปาร์คซูโฮมองควายธนูที่ยืนอยู่ข้างหน้า พลางส่งเสียงขู่ใส่ชินมินอูและอสูร เด็กหนุ่มจำควายธนูตนนี้ได้ไม่ลืม และรู้ด้วยว่าใครคือเจ้านายมัน

+++++++

ห้องประชุมครูฝึก ค่ายยุวชนทหาร

จ่าสิบโทยูแคยองกำลังนั่งสรุปผลการฝึกของยุวชนทหารให้กับ พันเอกเสริม รวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตรงสนามฝึก โดยพันเอกเสริมตั้งใจไว้ว่าฟังรายงานตรงนี้เสร็จ จะขอแวะไปดูที่เกิดเหตุเสียหน่อย ระหว่างนั้น พันเอกชาติ สหายรบของพันเอกเสริมเดินเข้ามา และไม่ได้มาคนเดียวเสียด้วย เป็นยุวชนทหารผู้ชายที่อายุยังไม่ถึงสิบสามดี รูปร่างค่อนข้างตัวเล็กแถมยังมีอาการสั่นเทาคล้ายกับกลัวอะไรสักอย่าง

อาการแบบนี้สำหรับพันเอกเสริมแล้ว เขารู้ได้ในทันทีว่า นนท์รวิศ ลูกชายคนเล็กต้องไปก่อเรื่องอะไรมาอย่างแน่นอน พันเอกชาติตบไหล่นนท์รวิศเบา ๆ และเดินมานั่งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลมาก

"ชาติ เกิดอะไรขึ้น" พันเอกเสริมหันมาถาม

"ให้เจ้านนท์พูดเองเถอะ" พันเอกชาติพูดและหันมาทางยุวชนทหารตรงหน้า "รีบสารภาพมาซะ เจ้านนท์"

นนท์รวิศเงยหน้ามองบิดาด้วยความกลัว ตั้งแต่จำความได้พันเอกเสริม ถือว่าเป็นพ่อที่เข้มงวดพอสมควร และความผิดในครั้งนี้เด็กชายรู้ดีว่าจะต้องโดนอะไร

"ฝีมือผมเองครับ" นนท์รวิศพูดเสียงสั่น ๆ แต่ก็เสียงดังฟังชัด "ควายธนูตัวนั้น ผมเป็นคนปล่อยออกมาเองครับ" 

จ่าสิบโทยูแคยองที่ได้ยินก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองนัก และหันไปมองพันเอกเสริมซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย จนยากที่จะคาดเดาความคิดและอารมณ์ของเจ้าตัวได้ พันเอกเสริมลุกจากโต๊ะและเดินมาเผชิญหน้ากับลูกชาย ในใจของพันเอกเสริมยอมรับว่านนท์รวิศมีพรสวรรค์ ไม่แพ้ลูกชายกับลูกสาวที่ตอนนี้ กลายเป็นยุวชนทหารรุ่นโตไปแล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าแค่พรสวรรค์มันไม่พอ เพราะมันมียุวชนทหารได้รับบาดเจ็บด้วย

"ยุวชนทหารนนท์รวิศ" พันเอกเสริมพูดเสียงเรียบ "บอกเหตุผลได้ไหมว่า ทำไมถึงอัญเชิญควายธนูออกมา" 

"ผม...." นนท์รวิศพยายามเรียบเรียงคำพูด "ผมแค่อยากเอามาอวดเพื่อนครับ" 

"อวดเพื่อน" จ่าสิบโทยูแคยองทวนคำของเด็กชาย 

"อืม เพราะอยากอวดเพื่อนก็เลยอัญเชิญออกมาทั้งที่ตัวนายยังควบคุมมันไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ฝึก ถูกต้องไหม" พันเอกเสริมถาม

นนท์รวิศพยักหน้ายอมรับ

"ความผิดครั้งนี้ก็ถือว่าร้ายแรงอยู่ เพราะการอยาก "อวด" ครั้งนี้ มันทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย ดังนั้นนายต้องถูกลงโทษ" พันเอกเสริมพูดเสียงเฉียบขาด

"ครับ"

"แต่เพราะนายมาสารภาพเอง ดังนั้นโทษที่จะได้จึงจะเบาลง" 

จากนั้นพันเสริมก็หันไปหาจ่าสิบโทยูแคยอง เพื่อมอบหมายคำสั่ง

"จ่ายูแคยอง"

"ครับผู้พัน"

"พายุวชนทหารนนท์รวิศไปนั่งสมาธิที่น้ำตกใกล้ ๆ นี้หน่อยและห้ามไปไหนจนกว่าฉันจะอนุญาต"

พูดจบจ่าสิบโทยูแคยองก็มาพาตัวนนท์รวิศไปที่น้ำตกในทันที

++++++++

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel