บทที่ 5
“เอาเลย ตบมันเลย สู้ๆ”
“จิกหัวมันเลยพี่ดาว จิกหัวมันมาตบเลย กรี๊ดๆ”
“นังเด็กใหม่มันสู้อ่ะ โอ๊ย! จับแยกที พี่ดาวแย่แล้ว”
เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังที่ห้องน้ำหญิง ในเวลาหลังเลิกเรียน ที่เด็กนักเรียนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่เด็กหญิงกลุ่มนี้ก็ยังไม่กลับ ต่างกำลังล้อมวงดู มหกรรมการต่อสู้ ที่เกิดขึ้นอยู่อย่างเมามัน สาวน้อยร่างเล็กแต่ใจไม่เล็กเลย กำลังตะกุยหน้าของดาราอย่างมันมือ ทางนั้นร้องโอดโอยจนลูกสมุนที่ล้อมอยู่ต้องมาจับแยก เลือดไหลซึมออกมาจากรอยเล็บเลยทันที ดาราถูกข่วนเข้าเต็มที่ที่หน้า ปากแตก เนื้อตัวบอบช้ำเพราะฝีตีนของสาวน้อยนักเรียนใหม่ ที่ยับเยินพอตัวเช่นกัน ผมเผ้าของทอประกายหลุดลุ่ยจากเปียที่ถักไว้อย่างดี ตาเขียวไปข้างหนึ่งเพราะหลบหมัดของอีกฝ่ายไม่ทัน ผิวขาวๆ นั่นมีรอยแดง รอยเล็บจิก ทั้งสองถูกจับไว้แน่น ทอประกายแม้จะเจ็บตัวไปหมด เจ็บหนังหัวที่ถูกจิก แต่สะบัดหลุดออกมาได้เพราะฝีมือการตะกุยเล็บ ตาซ้ายปวดตุบๆ แต่เธอก็ยิ้มอย่างสะใจ แล้วมองคู่ต่อสู้ของเธอที่บอบช้ำไม่แพ้กันด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยประกายวาวโรจน์
“วะ...ว่ายังไง...เธอหรือฉัน ใครชนะ”
เสียงทวงชัยชนะนั่น ทำให้หัวโจกประจำห้องคอแข็งไปนิดหนึ่ง นี่ถ้าพวกลูกน้องไม่แยก เธอมีหวังต้องนอนกลิ้งคลุกฝุ่น ให้ได้อับอายแน่นอน ดาราร้องอูยเบาๆ ก่อนจะประกาศเสียงแผ่ว
“มึงกับกูเสมอกัน กูจะไม่หาเรื่องมึง กูจะเป็นเพื่อนของมึง มึงชื่ออะไร หรือจะให้กูเรียกชื่อยาวๆ นี้วะ ขอเรียกสั้นๆ ว่าอีทอได้มะ”
“ฉันไม่ได้ชื่อทุเรศแบบนั้น ฉันชื่อเบลล์ย่ะ”
สาวน้อยว่า แล้วสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน มีคนยื่นส่งผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำให้กับเธออย่างหวังดี มือเรียวรับมันไว้แล้วเอาประคบเบ้าตา สองสาวมองตากัน ก่อนที่ดาราจะยิ้มกว้างจนเห็นฟันบิ่นด้านหน้าชัดแจ๋ว
“อีนี่มันแน่จริงๆ ใจเด็กว่ะ กูยอมรับเลย”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มคนที่มุงดู แล้วก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน เพราะไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ดูแล้ว ดาราแยกไปกับพวกคนสนิท ส่วนทอประกายนั้นเดินเซน้อยๆ เธอมีรอยยิ้มแม้ว่าจะเจ็บแปลบไปบ้างยามฉีกยิ้มก็ตามที
นี่คือก้าวแรก ของการเปลี่ยนแปลงชีวิตสินะ...มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมดหรอก มันสนุกดีเสียด้วยซ้ำ
........................................................................................................................................................................
ทอประกายนับเงินที่เหลือ แล้วถอนใจน้อยๆ เงินเธอเหลือไม่ถึงสองร้อยบาท มารดาก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา หนนี้ทอรุ้งออกต่างจังหวัดค่อนข้างนานพอดู สาวน้อยไม่กล้าโทรศัพท์ไปกวนมารดา เพราะเข้าใจถึงความเครียดมากมายที่ท่านต้องแบกรับ
“เย็นนี้ก็ต้มมาม่ากินไปสักสามสี่วันก็แล้วกันวะเรา”
สาวน้อยบอกกับตัวเอง เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักเรียน เป็นชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น เดินเล่นตามทางไปเรื่อยๆ แม้ทิวทัศน์จะไม่ค่อยมีอะไรน่าดูชมสักเท่าไหร่ ในละแวกบ้านที่เธออยู่อาศัย แต่เธอก็ไม่อยากจะอุดอู้อยู่แต่ในบ้านเช่า มีโทรทัศน์เก่าๆ เป็นเพื่อน สู้เดินเล่นรับลม ดูวิถีชีวิตของคนอื่นบ้างดีกว่า
เธอเดินเล่นเข้าไปในตลาดเล็กๆ ในย่านนี้ เพื่อเลือกเดินดูของไปเรื่อยๆ ซื้อลูกชิ้นลูกใหญ่เป้ง แน่นอนว่าเป็นแป้งเสียแปดสิบเปอร์เซ็นต์ กับน้ำจิ้มรสหวานแกมเผ็ดมาสามไม้ สาวน้อยเดินเลยไปจนถึงบริเวณวัดเล็กๆ ของชุมชน ช่างเงียบสงบนักยามโพล้เพล้แบบนี้ มีผู้คนมาออกกำลังกายบ้าง เดินเล่นบ้าง เพราะบริเวณส่วนหนึ่งกันไว้เป็นสวนสาธารณะ มีเครื่องมือออกกำลังมาตั้งไว้
ทอประกายนั่งกินลูกชิ้นไปได้เพียงสองสามลูก ก็เบ้ปาก รสชาติของมันสมกับราคาที่แสนถูก แม้เธอจะทำใจปลงตกกับชีวิตที่โชคชะตาราวกับกลั่นแกล้ง ดึงนางฟ้ากระชากลงมาบนพื้นดิน แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องทนกับอะไรที่ไม่อยากจะทน เป็นต้นว่าเรื่องกิน หรือว่าการโดนกลั่นแกล้ง
ศึกระหว่างเธอกับยัยหมีควายหัวโจกนั่น จบลงด้วยการเจ็บตัวกันไปคนล่ะเล็กล่ะน้อย แต่ก็คุ้มค่านัก เพราะเธอไม่ได้ถูกระรานจากพวกตัวแสบอีกเลย เธอยังไม่มีเพื่อนแม้จะไปเรียนได้เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว เนื่องจากพวกนั้นบางคนกลัวเธอ บางคนก็หมั่นไส้กับท่าทีราวกับนางหงส์ของเธอ ทอประกายก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรนักหนา ไม่มีเพื่อนก็ไม่ตายหรอกน่า ถึงจะเหงาไปนิดหนึ่งก็ตามทีเถอะ
สาวน้อยนั่งเหม่อลอย คิดเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านพ้นมาในชีวิตของวัยสิบห้าปีของเธอ มันมีสิ่งต่างๆ มากมายเสียเหลือเกิน ความฝันที่เคยฝันไว้ว่าอยากทำงานเป็นแอร์โฮสเตส คงจะหมดหวังแล้วกระมัง เพราะเธอคงไม่มีปัญญาไปเรียนภาษาเพิ่มเติม มารดาของเธอต้องกระเบียดกระเสียนขนาดนั้น แต่ก็ช่างมันเถอะ...เธอเอาไอแพด...สิ่งของราคาแพงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้เธอได้ใช้สอย คลายเครียด มาเปิดดู วายฟายต้องใช้อย่างจำกัด บ้างก็ต้องหาที่มีสัญญาณฟรีให้เล่น บริเวณนี้มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตฟรี เธอจึงเปิดเล่นดูอะไรแก้เบื่อ
เฟสบุ๊คปรกติแล้วเป็นสิ่งที่เธอจะต้องเปิดดูประจำทุกวัน แต่ตั้งแต่ย้ายโรงเรียน ทอประกายไม่เคยเปิดดูอีกเลย เพราะเกรงว่าจะทำใจไม่ได้ วันนี้เมื่อเธอลองโฉบแวบเข้าไป ก็เป็นไปตามคาด เพื่อนโรงเรียนเก่าของเธอ ที่เคยมีกลุ่มคุยกับเธอ เด้งเธอออกมาเสียจากกลุ่ม เพื่อนสนิทบางคนยังมาโพสต์ถามไถ่ความเป็นไปอย่างเป็นห่วง เรียกรอยยิ้มจากทอประกายได้บ้าง เธอโพสต์ตอบ และแชทคุยกับเพื่อนเก่าบางคน อดสะท้อนใจไม่ได้เวลาโดนถามถึงความเป็นอยู่ ทอประกายเลือกตอบแบบกลางๆ ไม่ได้บอกอะไรมากนัก
ก็ชีวิตเธอมันน่าสมเพชเสียเหลือเกิน เป็นคุณหนูอยู่สบายๆ กลับต้องมาหนีหนี้หัวซุกหัวซุน จากแม่ให้เงินวันล่ะหลายร้อย ก็ลดลงเหลือร้อยหนึ่งใช้หลายวัน เฮ้อ...ดีเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่สติแตก โวยวายและยังรับได้ พยายามอย่างเหลือเกินที่จะทนกับความยากจนที่ต้องเผชิญ แต่อีกใจก็ไม่อยากจะจมอยู่ตรงนี้ เธอต้องมีชีวิตเหมือนเดิมให้ได้
แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ...
ความคิดนี้ยังวนเวียน และสับสนอยู่ในหัวสมอง เงินเป็นสิ่งที่เธอต้องการนัก แต่ด้วยวัยแค่นี้ เธอจะไปทำอะไรได้มากมายนักเล่า
เงิน...เงิน...เงิน
โอเงินจ๋า...
ทำอย่างไรถึงจะได้มาเยอะๆ ทำอย่างไรเธอถึงจะได้มีชีวิตแบบเดิม ทอประกายเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มมืดลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ ย่านที่อยู่อาศัยแถบนี้ไม่เหมาะนักกับการที่เธอจะมาเดินเตร็ดเตร่ สาวน้อยเดินสาวท้าวเร็วๆ กลับไปยังบ้านเช่าหลังเล็กของเธอ
สาวน้อยนึกฝันเพ้อเจ้อ อยากจะให้มีเงินตกลงมาจากท้องฟ้า หรือเธอถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลใหญ่ จะได้ก้าวพ้นจากโชคชะตาที่แสนโหดร้ายนี่เสียที