EP : 5 ฮูหยินขอหย่า
“นายท่าน ข้าส่งฮูหยินกับคุณชายถึงที่พักเรียบร้อยแล้วขอรับ” ชิงเฉวียนที่กลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็ไม่ได้กลับไปที่ตระกูลเฉิน แต่ไปยังค่ายทหารของตระกูลเฉิน ที่นายท่านของเขาหนีมาพักอยู่ที่นี่ เพื่อเตรียมแผนการรับมือกับองรัชทายาทที่คิดจะใส่ร้ายพวกเขา เพราะต้องการจะสร้างผลงานให้กับตัวเอง
เฉินฮุ่ยเฟินพยักหน้ารับเบาๆ ด้วยความโล่งใจ ที่สามารถส่งลูกกับเมียออกไปห่างๆ จากตัวเองได้แล้ว เขายอมสร้างเรื่องต่างๆ เพื่อให้ทั้งสี่ปลอดภัย ครั้งนี้เขาจะไม่พลาดเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน เขาจะรีบจัดการให้เสร็จ แล้วไปรับหวังซูลี่และลูกชายทั้งสามกลับมา ก่อนที่นางจะจากเขาไป ซึ่งเขายอมไม่ได้
อุตสาห์ได้โอกาสย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เขาจะไม่พลาดแน่นอน แม้จะเสียดาย ที่เขาย้อนเวลามาตอนนี้ก็ตาม ถ้าย้อนเวลาตั้งแต่ที่ลูกของเขายังไม่เกิดก็น่าจะดี เรื่องมันจะได้ง่ายขึ้น
แต่แค่เขาได้โอกาสย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง ในตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่มันก็ดีแค่ไหนแล้ว ซึ่งสิ่งที่เขารู้สึกผิดมากๆ ก็คือการไปทำลายตันเถียนของนาง ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่สมจริงเท่าไร เนื่องจากมีคนจับตาดูพวกเขาอยู่ เลยทำอะไรไม่ได้มากนัก
แต่ไม่เป็นไร ถ้าเขาจัดการกับองค์รัชทายาทเสร็จแล้ว เขาจะดูแลนางอย่างดีเลย จะไม่ปล่อยให้นางลำบากเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน
“เอ่อ นายท่าน พ่อบ้านมาบอกท่านเรื่องฮูหยินหรือยังขอรับ” ชิงเฉวียนที่ติดใจกับคำพูดของฮูหยินก่อนที่จะขึ้นรถม้า ทำให้เขามองหน้านายท่านแล้วก็อึกอักเล็กน้อย จากนั้นก็ตัดสินใจเอ่ยถาม เพราะเขารู้เรื่องทั้งหมดว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งต่างจากฮูหยินและคุณชายทั้งสาม ร่วมถึงคนอื่นๆ อีกด้วย
“ยัง” เฉินฮุ่ยเฟินตอบสั้นๆ เพราะเขายังไม่ได้กลับตระกูลเลย หลังจากที่ลงโทษหวังซูลี่และไล่นางกับลูกออกจากตระกูล ที่เขาต้องทำให้มันใหญ่โตแบบนี้ เพราะอยากให้คนอื่นๆ เชื่อเรื่องพวกนี้ต่างหาก
“มีเรื่องอะไร” เฉินฮุ่ยเฟินเอ่ยถามชิงเฉวียน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดต่อ เพราะมันจะต้องมีอะไรแน่ๆ ลูกน้องของเขาถึงได้เอ่ยปากถามเขาแบบนั้น
“ฮูหยินขอหย่ากับท่านขอรับ” ชิงเฉวียนเอ่ยบอกเฉินฮุ่ยเฟินทันที เมื่อนายท่านของเขาเอ่ยถาม
มือหนาที่จับพู่กันอยู่ถึงกับมือไม้อ่อนไปเลยทีเดียว ชาติก่อนไม่เห็นนางขอหย่ากับ
เขาเลย หรือเป็นเพราะว่าเขาย้อนเวลากลับมา เรื่องบางเรื่องก็เลยเปลี่ยนไป ไม่ได้ๆ แบบนี้เขาต้องรีบลงมือจัดการกับองค์รัชทายาทแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องมันต้องจบแบบเดิมแน่ๆ
“เย้! ในที่สุดพวกเราก็หาเจอ” เฉินฮุ่ยหวงร้องออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกับพูดขึ้นพลางยิ้มกว้าง เมื่อพวกเขาเจอแม่น้ำสายหนึ่ง
“แถวนี้ไม่มีสัตว์เลย” เฉินฮุ่ยหมิงเอ่ยขึ้น เพราะป่าแบบนี้น่าจะมีสัตว์บ้าง แต่ที่พวกเขาเดินเข้ามา มันไม่มีสักตัวเลย
“มันน่าจะอยู่ในป่าลึกๆ” เฉินฮุ่ยหมิ่นเอ่ยบอกเฉินฮุ่ยหมิง พลางมองไปรอบๆ เพื่อระรังภัย เพราะเขาไม่ไว้ใจ แม้ว่าจะไม่มีสัตว์ แต่มันอาจจะมีอย่างอื่น
“ท่านแม่ พวกเราย้ายมาอยู่ในป่าไม่ได้หรือขอรับ” เฉินฮุ่ยหวงเงยหน้าขึ้นไปมองผู้เป็นแม่ ก่อนจะเอ่ยถาม เพราะในป่ามันเย็นสบายมากๆ แถมยังมีแม่น้ำอีกด้วย มันน่าจะสบายสำหรับท่านแม่ หากพวกเขาเปลี่ยนมาอยู่ที่นี่แทน
“นั่นสินะ ทำไมแม่ถึงคิดไม่ได้กัน หวงเอ๋อร์เก่งจริงๆ แต่ว่า เราจะสร้างเรือนได้อย่างไร” หวังซูลี่ที่ได้ยินก็กล่าวชมลูกชายคนเล็ก เพราะมันเป็นความคิดที่เข้าท่าดี แต่มันติดตรงที่ว่าพวกเธอจะสร้างบ้านอย่างไรต่างหาก
“ข้าทำเป็นขอรับท่านแม่ ข้าเคยไปดูคนงานสร้างเรือนในตระกูลมาขอรับ” เฉินฮุ่ยหมิงเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่กล่าว ก็รีบเสนอตัวทันที พลางยิ้มกว้างเมื่อเขาจะได้ลองทำเรือนของตัวเอง
“ข้าเคยเห็นน้องรองแอบไปช่วยคนงานสร้างเรือนด้วยขอรับ” เฉินฮุ่ยหมิ่นเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ทันที หลังจากเห็นท่านแม่เงียบไป เมื่อเฉินฮุ่ยหมิงกล่าวจบ
“งั้นเราไปเดินดูสถานที่ ที่พวกเราจะทำเรือนของเราก่อนแล้วกัน” หวังซูลี่ที่เงียบไปนั้น ไม่ใช่อะไรหรอก แค่กำลังคิดว่าจะทำบ้านแบบไหนดี และจะให้แต่ละคนช่วยทำอะไรเท่านั้นเอง
“ดีขอรับ” ทั้งสามตอบรับอย่างดีใจ ก่อนจะพากันหาพื้นที่ที่จะสร้างเรือนของพวกเขา ซึ่งไม่นานก็หาเจอ เป็นพื้นที่โล่งพอดี
“เราต้องล้มต้นไม้พวกนี้ออกไปด้วย หมิ่นเอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์ พวกลูกตัดต้นไม้พวกนี้นะ เดี๋ยวแม่จะไปวาดแบบเรือนของพวกเราสักหน่อย” หวังซูลี่เอ่ยสั่งงานกับลูกชายทั้งสอง ที่เธอยังไม่ให้เฉินฮุ่ยหวงทำด้วย เพราะลูกชายคนเล็กของเธอยังใช้ลมปราณได้ไม่ดีเท่าไร เลยปล่อยหน้าที่นี้ให้กับพี่ชายทั้งสองทำไป
“ไว้ใจพวกข้าได้เลยขอรับท่านแม่” เฉินฮุ่ยหมิงตอบรับผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ก่อนจะชวนพี่ใหญ่ไปตัดต้นไม้ ในใจก็คิดว่าเรือนที่ท่านแม่ของเขาจะออกแบบมันเป็นแบบไหนกัน
หวังซูลี่เอากระดาษกับพู่กันและโต๊ะออกมาจากแหวนมิติ พู่กันเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอชอบมากในนิยายเรื่องนี้ เนื่องจากมันไม่ต้องฝนหมึก เพราะเป็นพู่กันที่ลงอักขระเอาไว้ ทำให้มีหมึกอยู่ในตัวของพู่กันโดยไม่ต้องเสียเวลาฝนหมึก และราคาก็แพงมากอีกด้วย
เฉินฮุ่ยหวงมองผู้เป็นแม่ของเขานิ่ง อยากจะเอ่ยปากถาม แต่ก็กลัวว่าจะไปรบกวนสมาธิของท่านแม่ เขาเลยดูเงียบๆ พร้อมกับหันไปมองพวกพี่ๆ เป็นบางครั้ง เขาก็อยากจะช่วยทุกคนทำเรือนบ้าง แต่เขารู้ตัวเองดี ว่าทำแบบพวกพี่ๆ ไม่ได้
หวังซูลี่นึกภาพอยู่ในใจ เพราะกำลังคิดอยู่ว่าจะสร้างเรือนแบบไหนที่ใช้เวลาสร้างเร็วที่สุด และใช้อะไรบ้าง จะได้คำนวณถูก นั่งคิดอยู่สักพักก็คิดออก เธอจำได้ว่ามีต้นไม้ต้นหนึ่งที่สามารถใช้น้ำยางของมันเป็นกาวได้ ซึ่งน้ำยางของมันเป็นกาวชั้นดีเลยล่ะ
“เด็กๆ เราไปหาน้ำยางกัน” หวังซูลี่เอ่ยขึ้น เพราะก่อนอื่นต้องไปหาน้ำยางมาก่อน เธอถึงจะรู้ว่าสามารถสร้างเรือนที่ตัวเองคิดเอาไว้ได้หรือไม่
เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยออกมาแบบนั้น เฉินฮุ่ยหมิ่นและเฉินฮุ่ยหมิงก็หยุดมือ จากการจัดการต้นไม้ที่ตัวเองโค่นล้มลงไปเมื่อครู่ทันที
“ขอรับ” แล้วเด็กน้อยทั้งสามก็ตอบรับผู้เป็นแม่พร้อมกัน
เมื่อได้ยินคำตอบ หวังซูลี่ก็ยิ้มเบาๆ จากนั้นเธอก็พาเด็กๆ ตามหาน้ำยางที่จะใช้เป็นกาวมาติดกับไม้เพื่อสร้างเรือนของพวกเธอ