บทที่ 2 จุดเริ่มต้นของเหวินซีบนโลกมนุษย์
“อย่าเพิ่งดีใจไป พลังของเจ้าใช่ว่าจะใช้ได้ในทันที เจ้าต้องหมั่นฝึกฝนเพราะร่างกายมนุษย์อ่อนแอเกินไป ไม่อาจรับพลังอันแกร่งกล้าได้ในคราเดียว”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอเพียงให้ข้ามีพลังเยี่ยงเก่าเป็นพอข้าจะหมั่นฝึกฝนตนเองให้เก่งขึ้นอย่างแน่นอน”
“ดี ๆ เช่นนั้นเชิญเจ้าใช้ชีวิตยังโลกมนุษย์ตามสบายเถิดข้าขอตัวก่อน ประเดี๋ยวข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้ง” เทพอัคคีเอ่ยจบก็หายวับไปทันที เหวินซีกำลังจะอ้าปากถามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ท่านเทพใยไม่อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนเล่า ยามนี้ข้ายังเป็นเด็กตัวน้อยอยู่เลยแถมตอนนี้มันก็ดึกดื่นยามใดก็ไม่รู้” เหวินซีตะโกนไล่หลังเทพอัคคีเพื่อให้เขาเห็นใจ แต่เขาคงเอาหูทวนลมไม่ได้ยินที่นางเอ่ยเลยแม้แต่น้อย
เหวินซีกวาดสายตามองไปโดยรอบจากนั้นก็ลุกเดินด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด นางเดินไปตามถนนที่เปล่าเปลี่ยวเห็นมีชายผมเผ้ารุงรังนั่งอยู่ข้างถนนชายคนนั้นคงเป็นขอทานชราที่เดินเหินไม่ไหว เหวินซี พลันอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างน้อยก็ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียวในค่ำคืนที่เงียบเหงาวังเวงเช่นนี้
เหวินซีดีใจเดินไปหยุดยืนเบื้องหน้าพลางเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ยินดีที่ได้พบขอให้ท่านโชคดีนะเจ้าคะ”
สิ้นเสียงร่างเล็กชายชราที่นั่งก้มหน้าก้มตาดวงตาก็เกิดประกายลุกโชนมุมปากแสยะยิ้มกว้างอย่างไม่อาจปิดกั้นได้ นานเท่าไรแล้วที่ไม่มีใครเห็นว่าตนนั่งอยู่ตรงนี้ ชายชราเงยหน้าขึ้น...
เหวินซีมองชายชราที่กำลังเงยหน้าขึ้นพลันหัวใจกระตุกวูบ อ้าปากค้างดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด ภาพตรงหน้ามันช่างน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก นางไม่เคยพบเจออะไรเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ยามอยู่บนสรวงสวรรค์ก็มีแต่เทพที่หล่อเหลาและงดงาม แต่ภาพตรงหน้ามันสยดสยองเกินไปดวงตาปูดโปนแดงฉานยามที่จ้องมองมาแล้วยังปากที่ฉีกยิ้มจนกว้างเลยไปถึงใบหูนั่นอีก
เหวินซีก้าวเท้าถอยหลังสองก้าวจากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความหวาดกลัว ปากเล็กก็กรีดร้องจนสุดเสียงแต่ดูเหมือนว่าเสียงของนางที่เปล่งออกมานั้นมันช่างเบาหวิวเสียเหลือเกินคงไม่มีใครได้ยินแน่ วิ่งไปพลางเหลือบมองด้านหลังผีตนนั้นมันวิ่งตามนางมา!!
“ฮือ ๆ ๆ ข้ากลัวแล้วอย่าตามข้ามา” เหวินซีวิ่งจนเหนื่อยหมดแรงนั่งอยู่บนพื้นดินท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน ปากของนางก็พร่ำร้องไม่หยุดแต่ไม่ยอมลืมตาขึ้นมามอง ด้วยความหวาดกลัวภาพที่นางเห็นยังคงติดตาอยู่
“ข้าหิว...” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอก
“ข้ายังเล็กนักแถมยังผอมแห้งเนื้อตัวก็สกปรกมอมแมมอย่ากินข้าเลย” เหวินซีพร่ำบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ข้าไม่ได้จะกินเจ้าแต่ข้าหิวข้าว” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกร่างเล็ก นานมากแล้วที่มันนั่งอยู่ตรงนั้นขอทานทั้งกลางวันและกลางคืนก็ไม่มีผู้ใดเห็นมันเลยสักคน มันทั้งหิวและเหงาเป็นอย่างมาก
“ไม่กินข้าแน่นะ” เหวินซีเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ ข้าหิวข้าว” ผีชราเอ่ยบอกความต้องการของตนให้ร่างเล็กได้ฟังอีกครั้ง
“แล้วจะให้ข้าช่วยอย่างไรบอกมาเถิดข้ายินดีทำตามแต่ขออย่างเดียวอย่ามาตามหลอกหลอนข้าอีก”
“จัดอาหารแล้วเซ่นไหว้เอ่ยชื่อของข้า” เสียงผีชราเอ่ยบอก
“ได้ ๆ พรุ่งนี้เช้าข้าจะทำให้ท่าน ท่านแจ้งชื่อของท่านมาเถิด” เหวินซีเอ่ยทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเพราะยังกลัวกับภาพน่ากลัวนั้น ผีชราเอ่ยบอกนามของตนให้เด็กน้อยได้รับรู้จากนั้นก็หายวับไปทันที
เหวินซีเมื่อรับรู้ว่าผีชราน่ากลัวได้หายไปแล้วนางจึงเงยหน้าขึ้นมา กวาดสายตามองไปโดยรอบไม่พบผู้ใดก็พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก ต่อไปนี้นางคงต้องดูให้ดีเสียก่อนว่านางเห็นคนหรือว่าภูตผีกันแน่ไม่เช่นนั้นจะดวงซวยอย่างคืนนี้อีก เหวินซีคิดบอกตัวเองในใจ
เด็กหญิงเนื้อตัวมอมแมมแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่เก่าซอมซ่อเช่นนี้จะไปหาอาหารดี ๆ ที่ใดมาเซ่นผีชราได้ นางเป็นใครมาจากที่ใดนั้นย่อมรู้ตัวดีแต่เด็กสาวที่นางมาอาศัยร่างอยู่นั้นเป็นใครสุดหารู้ไม่ เหวินซีเดินไปตามท้องถนนท่ามกลางความมืดเดินบ้างหยุดบ้างจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มยอแสง ผู้คนก็เริ่มออกจากบ้านเรือนเดินมาตามถนนหนทางเริ่มคึกครื้นขึ้น
เหวินซีเป็นเทพอยู่บนสรวงสวรรค์อาหารหรือแม้กระทั่งน้ำดื่มนางไม่ต้องกินก็ยังอยู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการอาบน้ำนาน ๆ ครั้งนางถึงจะไปนอนแช่ในอ่างน้ำทิพย์สักครั้ง ปกติแล้วนางแค่ดีดนิ้วครั้งเดียวเนื้อตัวก็หอมสะอาดอาภรณ์อยากเปลี่ยนเป็นสีอะไรแบบไหน เพียงแค่คิดแล้วดีดนิ้วก็สามารถรังสรรค์ออกมาได้ตามใจปรารถนาแล้ว แต่นี่กระไรนางลองดีดนิ้วแล้วมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิดไหนว่าองค์เง็กเซียนแบ่งพลังวิญญาณมาให้อย่างไรเล่า...
เหวินซีเดินไปตามถนนเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย จนแสงแดดเริ่มสาดส่องลงมาแรงกล้านางเริ่มหิวน้ำหิวข้าวทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เป็นมนุษย์มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ
เหวินซีเดินไปหยุดมองอยู่หน้าร้านขนมชนิดหนึ่งซึ่งนางก็ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนและก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่กลิ่นของมันหอมมากเวลาที่แม่ค้าเปิดฝาลังถึงที่กำลังนึ่งอยู่บนเตา ท้องน้อย ๆ ของนางก็ส่งเสียงเรียกร้องดังขึ้นไม่หยุด
“นางหนูอย่ามายืนขวางหน้าร้านถอยไปไกล ๆ เลย” เสียงแม่ค้าเอ่ยไล่น้ำเสียงหาได้มีความเมตตาแม้แต่น้อย มนุษย์หนอเหตุใดถึงได้ใจดำเช่นนี้ เหวินซีก้มหน้าเตรียมเดินจากไปแต่หูของนางได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ท่านป้าเอาซาลาเปาและหมั่นโถให้เด็กน้อยอย่างละสองลูกข้าจะจ่ายเงินเอง” เสียงทุ้มของบุรุษเอ่ยขึ้น เหวินซีหันไปมองทันที บุรุษตรงหน้าแต่งกายไม่คล้ายคนมีเงินเท่าใดนักอาภรณ์ก็ดีกว่านางนิดเดียวเท่านั้น แต่น้ำใจของเขาช่างประเสริฐนัก
แม่ค้าหยิบซาลาเปาและหมั่นโถห่อกระดาษส่งให้เด็กน้อยทันที พลางเอ่ยเหน็บแนมชายหนุ่มเล็กน้อย “ใจบุญจริงนะพ่อคุณตัวเองก็แทบไม่มีจะกิน”
“รับเงินไปเลยมันเรื่องของข้า” เสียงทุ้มเอ่ยพลางส่งเงินให้แม่ค้า จากนั้นก็หันมาเอ่ยกับเด็กน้อยที่รูปร่างผอมแห้งตรงหน้า “เด็กน้อยเจ้ามาจากที่ใดกันข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย”
เหวินซีส่ายหน้าจะให้นางตอบไปว่าอย่างไรเพราะร่างที่มาเกิดนั้นเป็นใครก็ยังไม่รู้ท่านเทพอัคคีก็ไม่ได้บอก
“เจ้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ?”
“ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” เหวินซีเอ่ยบอกบุรุษใจดีตรงหน้า
“เอาเช่นนี้เจ้าไปอยู่กับข้าดีหรือไม่บ้านข้าใหญ่โตมีพื้นที่กว้างขวางเจ้าต้องชอบเป็นแน่”
เหวินซีคิดตามคำพูดของบุรุษใจดีตรงหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีจิตใจดี แต่นางก็ยังไม่ถึงขั้นไว้วางใจตามไปอยู่กับเขาเป็นแน่ ระหว่างที่นางกำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเสียงแม่ค้าก็เอ่ยขึ้น
“นางหนูเจ้าไปเถอะไม่ต้องกลัวหรอกไปอยู่ที่นั่นเจ้าไม่อดตายแน่ ๆ อารามที่เชิงเขาใหญ่โตคนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือไม่มีข้าวกินก็ไปอาศัยอารามเส้าหมิงด้วยกันทั้งนั้น”
เหวินซีกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันทีบ้านที่บุรุษใจดีเอ่ยถึงคืออารามเช่นนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากนางจะไปอาศัยพึ่งใบบุญชั่วคราวก็คงไม่เป็นไรกระมัง คิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยตอบ “ตกลงข้าจะไปกับท่าน”
“ข้าชื่ออี้ปิน เจ้ามีนามว่าอะไร” อี้ปินเอ่ยถามเด็กน้อยที่น่าสงสารตรงหน้า
“เรียกข้าว่าเหวินซีก็แล้วกัน” เหวินซีเอ่ย เด็กสาวร่างนี้มีนามว่าอันใดนางไม่รู้ เอาเป็นว่าใช้ชื่อของนางไปก็แล้วกันไหน ๆ เด็กผู้นี้ดวงวิญญาณก็ได้ออกจากร่างไปแล้ว ร่างนี้ย่อมเป็นของนางโดยสมบูรณ์แล้ว
“เช่นนั้นเราไปกันเถิด อ้อ...เจ้ากินหมั่นโถก่อนดีหรือไม่จะได้มีแรงเดิน” อี้ปินเอ่ยถามเด็กน้อย
“ข้ายังไม่กิน ไปถึงอารามก่อนแล้วค่อยกินเจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ยตอบ นางจะนำหมั่นโถในมือแบ่งไปเซ่นไหว้ผีชราเมื่อคืนป่านนี้คงรอแย่แล้ว มื้อนี้คงต้องให้กินหมั่นโถไปก่อน มื้อหน้าหากมีอาหารดี ๆ นางค่อยเซ่นไหว้ไปให้อีกก็แล้วกัน
หนึ่งบุรุษตัวสูงใหญ่แต่งกายกระเซอะกระเซิงกับหนึ่งเด็กน้อยผ่ายผอมแต่งกายมอมแมมเดินจูงมือกันไปตามถนนมุ่งหน้าไปยังอารามเส้าหมิงที่อยู่ติดเชิงเขา อารามแห่งนี้เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน เนื่องจากใต้ซือหลุนเป็นผู้ที่มีจิตใจประเสริฐช่วยเหลือชาวบ้านยามที่เดือดร้อนเสมอ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้ชาวบ้านมาช้านานเรื่องของขลังอาคมท่านก็เป็นที่เลื่องลือ ภูตผีหรือวิญญาณร้ายต่างไม่กล้ำกรายเมื่อมียันต์ของใต้ซือหลุนติดบ้านหรือติดตัวเอาไว้
มีอยู่หลายครั้งที่ชาวบ้านมีอาการประหลาดแม้จะพาไปหาหมอรักษาก็ไม่อาจรักษาให้หายได้ จนครอบครัวของคนป่วยต้องหันมาพึ่งใต้ซือหลุนแห่งอารามเส้าหมิง ท่านเพียงร่ายคาถาและแปะยันต์ลงบนร่างของคนป่วยเพียงเท่านั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ชาวบ้านจึงเลื่องลือกันว่าอาการของผู้ป่วยคนนั้นคือโดนวิญญาณร้ายสิงสู่ ชื่อเสียงของใต้ซือหลุนจึงเลื่องลือไปไกลเพราะปากต่อปากของชาวบ้าน