อธิฐานเลยสิเจ้า
เสี่ยวป๋อสาวเท้าอย่างรวดเร็วยังห้องพักของ เจิ้งเหมยเกรงว่าหากช้ากว่านี้ เจิ้งเหมยพี่สาวที่น่าสงสารคนนั้นจะถูกลงโทษอีก
“พี่สาวเจิ้งเหมย ท่านอ๋องให้ท่านพักอยู่แต่ในห้องห้ามออกมาเดิน”
หายใจหอบเหนื่อยแต่ก็ต้องรีบพูดเพราะไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงสักนิด
เจิ้งเหมยยิ้ม นึกขำท่าทีร้อนรนของเสี่ยวป๋อ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ใบหน้าซื่อๆของเสี่ยวป๋อก็ทำให้เจิ้งเหมยมีรอยยิ้ม
“ข้าเข้าใจ คงเกรงว่าข้าจะเผลอเอ่ยปากเรื่องถูกทำโทษ”
เสี่ยวป๋อยิ้มด้วยความมละอายใจ รู้สึกว่าเจิ้งเหมยช่างเข้าใจอะไรได้ง่ายเสียจริง หารู้ไม่ว่าเจิ้งเหมยรู้ดีว่า สิ่งไหนควรพูดสิ่งไหนไม่ควรพูดในสถานะการเช่นนี้
“พี่สาวเข้าใจข้าก็เบาใจ เช่นนั้นท่านพักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยออกมาทำงาน”
เจิ้งเหมยรู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดของเจิ้งเหมย หากองครักษ์ผู้นั้นไม่เดินมาถึงที่นี่ จวนอ๋องกว้างใหญ่หากเขาไม่จงใจใยจะเดินมาถึงที่กันดารที่สุดในจวน
จินเฉิงอู่ยัดขวดยาสมานแผล ใบเล็กลงในมือของคังซื่อฮั่น ที่ทำสีหน้างงๆ
“ เจ้ากำลังหาว่าข้า ใจคออำมหิตเช่นนั้นนี่คือยาสมานแผลที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทพระราชทานมา นำมันไปให้นางเสียบอกว่าเจ้าให้นางด้วยความหวังดี”
คังซื่อฮั่นอมยิ้ม
คังซื่อฮั่นผละออกมาหมายจะไปที่ห้องพักของเจิ้งเหมย
โยวเสวียนยืนฟังอยู่ด้านนอกหลบเดินไปอีกทางดักรอคังซื่อฮั่นที่ทางเดินทอดยาวสู่ห้องพักของเจิ้งเหมย
“ท่านองครักษ์”
ยิ้มบางๆน้ำเสียงอ่อนโยน
“คังซื่อฮั่น คาระวะพระชายา”โบกมือเหมือนรับรู้
“ ท่านองครักษ์กำลังจะไปไหนไม่ทราบ”
“เอ่อคือ ยาสมานแผลข้าน้อยตั้งใจนำยานี่ไปให้ แม่นางเจิ้งที่ห้องพัก”
โยวเสวียนยิ้มอ่อนโยนที่สุด
“ข้ากำลังจะไป ที่นั่นนำยาไปให้นางเช่นกัน ..ท่านอ๋องแม้จะโมโหร้ายไปบ้าง แต่หากข้าไม่สั่งโบยนางเสียก่อนท่านอ๋องคงไม่ปล่อยนางแน่ ท่านองครักษ์ก็รู้ว่า ห้องทำงานของท่านอ๋องเป็นที่สำคัญเพียงใด ข้าจำต้องสั่งโบยนางด้วยโทษเบาสุดในจวนคือเพียงแค่สิบไม้”
คังซื่อฮั่นรู้สึกถึงความจริงใจในน้ำเสียงนั้น ล้วงหยิบยาส่งให้ชายาเอก
“เช่นนั้นข้าฝากยา สมานแผลนี่ไปกับพระชายา เผื่อว่าพระชายาจะได้ปลอบใจนางนานหน่อย ข้าเป็นบุรุษ อีกทั้งนางเป็นคน..ของท่านอ๋อง...ข้าจึงไม่ควรไปรบกวนนาง”
สายตาเปล่งประกายดุจเหยี่ยว แต่เป็นเพียงแวบเดียวและคังซื่อฮั่นไม่ทันเห็นมันด้วยซ้ำไป
“ข้า ยินดีบอกกล่าวแก่นางว่าเจ้ามอบยาดีมาให้นาง”
คังซื่อฮั่นคาระวะก่อนเดินจากมา
ค่ำคืนเหน็บหนาว บาดแผลยังคงเจ็บลึก เจิ้งเหมยนอนไม่หลับออกมานั่ง ชันเข่าที่ม้านั่งด้านนอกห้อง เหม่อมองไปยังด้านหน้าของจวนอ๋องกว้างใหญ่นั้น คังซื่อฮั่น ยืนมองอยู่บนต้นไม้ใหญ่มือถือกระบี่ จ้องมองมาที่เจิ้งเหมยผ่านแสงนวลของจันทรา ใบหน้าเศร้าหมองริมฝีปากหยักได้รูป กับแววตาเศร้าสร้อยเหตุใดกันนางถึงทอดอาลัยถึงเพียงนั้น
จินเฉิงอู่ยืนมอง เจิ้งเหมยอยู่อีกมุมหนึ่งเหมือนกัน แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เขารีบกลับเข้าห้องไปทันที เจิ้งเหมยยกมือขึ้นอธิฐานกับจันทรา
คำอธิฐานในใจใครจะล่วงรู้เล่า
เจิ้งเหมย ในชุดสาวใช้สดใส แผลที่หลังเกือบหายสนิทแล้ว ยุ่งอยู่ในครัวช่วยทำครัวหั่นผักใบหน้าสดใสเพราะหลายวันมานี้ได้พักผ่อนเต็มที่ จินเฉิงอู่ยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานไม่ได้ลุกไปไหน อาหารเช้าโยวเสวียนลืมหรือว่านางอาจอาการป่วยแย่ลงกว่าเดิม วันนี้จึงยังไม่นำอาหารเช้ามานั่งกินด้วยกันสายเต็มทีแล้ว
"เสี่ยวป๋อ เสี่ยวป๋อ เหลียงซานป๋อ"
ไม่มีแม้เงาอดไม่ได้ที่จะลุกไปที่ครัวที่แยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง
เดินเอามือไพล่หลังเข้ามาในครัว เจิ้งเหมยยืนหั่นผัก แม่ครัวกำลังเตรียมอาหาร
"ยกอาหารไปที่ห้องข้าด้วย"
เจิ้งเหมย หันมามองสบตาคม อย่างที่ไม่ทันได้หลบเลี่ยง ดวงตาคมเข้มมองสำรวจทั่วร่างบาง เจิ้งเหมยเหมือนจะรู้สึกตัวรีบยกชามใส่ผักเดินหายลับไปกับตา จินเฉิงอู่แก้เก้อโดยการหันไปสั่งแม่ครัว
"วันนี้ มีข้าวต้มไหมข้าอยากกินข้าวต้ม"
"ข้าน้อยจะจัดเตรียมและยกไปให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้"
จินเฉิงอู่ไม่รอช้ารีบกลับไปที่ห้องทำงาน
“เจิ้งเหมย ยกเครื่องเสวยที่ห้องท่านอ๋องห้า”
แม่ครัวออกคำสั่งเจิ้งเหมย หันหน้าหันหลังไม่พบผู้ใดทำอย่างไรดี แม่ครัวส่งสายตาดุดุ เจิ้งเหมยยกเครื่องเสวยมาหาย่าหนานหมายให้ช่วยแต่ย่าหนานไม่อยู่ที่นั่น จึงจำใจเดินไปที่ห้องทำงานทั้งที่ยังหวาดๆ