บทที่1
บทที่1
เสียงเบรคของล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นคอนกรีตดังสนั่นไปทั้งลานจอดรถ เมื่อรถยนต์สันชาติญี่ปุ่นเก่ากลางใหม่คันดังกล่าวจอดเข้าซ่องเรียบร้อย ไม่ช้าก็มีร่างระโหงของหญิงสาวคนหนึ่งกระวีกระวาดหุนหันเปิดประตูฝั่งคนขับลงมาอย่างรีบเร่ง
"สายอีกแล้วเหรอพีช" ยามที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าตะโกนถามเสียงดัง
"ถ้าคุยกับพี่ได้สายแน่ พีชไปก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน" พัดชาตะโกนกลับไป กึ่งเดินกึ่งวิ่งตีนเปิ่มเพราะรีบจนไม่มีเวลาใส่รองเท้า หรือถ้าใส่คงเดินช้าเพราะรองเท้าส้นสูงที่ใช้สำหรับใส่ทำงานนั่นสูงสี่นิ้ว คราวนี้ได้สายของจริง มือบางรีบพลักประตูห้องพักพนักงานสุดแรง สายตากลมโตเพ่งตรงไปที่เครื่องสแกนนิ้วมือ ขาเรียวยาวสองข้างก้าวยาวอย่างรีบเร่งไปที่เครื่องนั่น เมื่อไปถึงก็รีบบรรจงวางมือลงบนจอสี่เหลี่ยมทันที
"ฟู่ เชฟ" เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นพัดชาหรือลูกพีชก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก รอดตายแล้ว ไม่โดนหักเบี้ยขยัน
"กะอิแค่เบี้ยขยันสองพัน นั่งกับแขกคืนหนึ่งก็ดีแล้ว ตัวท๊อปไม่ใช่เหรอ"
พัดชากลอกตาขึ้นฟ้าทันทีที่ได้ยินคำพูดกระแนะกระแหนจากเสียงที่คุ้นเคย เธอก็ไม่เข้าใจว่าพี่ว่านจะจงเกลียดจงชังอะไรเธอนักหนา ทำอะไรก็คอยจ้องจะจับผิดจ้องจะจิกกัดเธออยู่ตลอดเวลา
"สองพันก็เงินนะพี่ว่าน" จริงอยู่เงินสองพันสำหรับสายงานที่เธอทำอยู่แปปเดียวก็หาได้แล้ว แต่สองพันนี้ล่ะที่ต่อลมหายใจเธอได้ทั้งเดือน เพราะลำพังเงินที่หาได้แม้จะเกือบหกหลักต่อเดือน แต่เชื่อไหมอิพัดชาคนนี้ใช้เดือนชนเดือนตลอด ใช่ว่าเธอใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่นั่นเพราะไหนจะหนี้สินที่หยิบยืนมารักษายายที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อนรัง ไหนจะค่ากินอยู่ ค่าหอ ค่าเล่าเรียน ชีวิตเธอไม่ได้สวยงามดั่งใบหน้าของเธอ ตั้งแต่จำความได้พัดชาก็อยู่กับยายสองคน ทำงานหาเงินช่วยยายมาตลอด พอยายของเธอล้มป่วยจึงกลายเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ยายคนเดียวเธอเลี้ยงได้
"มึงก็ไปกับเสี่ยชัยสิ ขี้คร้านจะได้มากกว่าสองพัน จะได้ไม่ต้องวิ่งหัวฟูมาเอาเบี้ยขยันแบบนี้"
"พีชไม่ไปต่อกับแขกพี่ว่านก็รู้"
"ถรุย! ทำเป็นรักนวลสงวนตัว ทีให้แขกจับๆ ล้วงๆ ได้เงินไม่กี่พันมึงยังเอา ไปนอนกับเสี่ยชัยคืนเดียวได้เป็นหมื่นเสือกหยิ่ง" ว่านเบ้ปากหมั่นไส้พัดชานัก ทำงานเป็นเด็กนั่งดริ้งเหมือนกัน แต่พัดชาเลือกแขก ทำตัวสูงส่งยังกับนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหน มันก็เด็กนั่งดริ้งเหมือนกันล่ะเว้ย
"พี่อยากขายที่นาผืนน้อยของพี่ พี่ก็ขายไปเถอะ อย่าเสือกเรื่องของพีชนักเลย"
"อีพีช! มึงด่ากูว่าเสือกเหรอ กูอุตส่าห์หวังดี"
"เปล่าาาาาาาาาาา พีชด่าหมาแถวนี้ แต่ถ้าจะหวังดีแบบนี้ไปหวังดีกับญาติพี่เถอะ"
“อีพีช!”
"พอๆ" มลที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่รีบลุกมาห้ามทัพ ก่อนที่สองสาวจะไม่ได้แค่ทำศึกแลกน้ำลายแต่จะกลายเป็นตบกันจริง ที่เล้าทแห่งนี้มีกฎเหล็กอยู่เพียงไม่กี่ข้อ หนึ่งในนั้นคือห้ามใช้ความรุนแรง หากผู้จัดการรู้เข้าถูกไล่ออกสถานะเดียว แค่ด่าทอกันก็แล้วไป เพราะเป็นเรื่องปกติในฝูงชนีที่ทำมาหากินแย่งแขกในพื้นที่เดียวกัน
"อีพีชมันด่าว่านก่อนนะพี่มล"
"ก็เราไปยุ่งกับพีชมันทำไม พี่ก็นั่งหัวโด่เด่อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินว่าใครเริ่มก่อน ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่" มลส่ายหัวละเหี่ยใจ ไม่มีใครไม่รู้ว่าว่านไม่ชอบพัดชา แต่ทุกคนก็ไม่ยุ่ง ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน แค่ต้องมานั่งฉีกยิ้มให้แขกทั้งที่ภายในใจเหนื่อยแสนเหนื่อย
"พี่ก็เข้าข้างมันตลอด" ว่านทำเสียงตัดพ้อ
"หรือจะให้พี่ฟ้องผู้จัดการ" มลหันไปถามเสียงเขียว วันนี้แขกคนสำคัญของเธอจะมา เธออยากแต่งหน้าแต่งตัวให้สวยที่สุดจะได้ประทับใจเขา แต่ต้องมาฟังคนทะเลาะเบาะแว้งกัน มลพิษทางอารมณ์จริงๆ
ว่านเห็นว่าคราวนี้พี่มลท่าจะเอาจริงก็กระฟัดกระเฟี้ยดกระทืบเท้าเดินตึงตังออกจากห้องแต่งตัวไป หากพี่มลฟ้องผู้จัดการจริงๆ เธอนั่นแหละที่เสียเปรียบ นังพีชมันตัวท๊อปตัวเรียกแขกนิ ใครๆก็เข้าข้างมันเพราะแขกที่นังพีชไม่เลือกก็จะเปลี่ยนเป้าหมายมาหาคนที่อยู่ข้างๆ มันแทน เธอถึงเกลียดมัน มันมีอะไรดีกว่าเธอกัน หน้าตาเธอก็สวยกว่า หากแขกชวนไปต่อข้างนอกเธอก็ไปด้วยทุกครั้ง แต่จนถึงวันนี้เธอก็ไม่เคยได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งสักที ผิดกับนังพีชมาทำงานแค่ปีเดียวก็ได้ตำแหน่งนั้นไปง่ายๆ
"ขอบคุณค่ะพี่มล" พัดชายกมือไหว้ขอบคุณรุ่นพี่
"เราก็เบาๆ หน่อย รู้ว่ายัยว่านชอบหาเรื่องเราก็ชอบไปต่อปากต่อคำนาง"
"ก็ไม่อดไม่ได้นิพี่ คนเพิ่งวิ่งมาเหนื่อยๆ แทนที่จะได้นั่งพัก"
"เออ ตามนั้นละ รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วแต่งหน้าแต่งตาซะ" มลไล่รุ่นน้องให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงจะไม่สายแต่ชุดที่ใส่มาก็ใช้ทำงานไม่ได้