คู่ปรับเก่า
“ สวัสดี เรียกผมเจตเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเต็มยศขนาดนั้น ” เขาบอกก่อนจะเดินตรงเข้าไปในประตูบานเลื่อนอัตโนมัติก้าวเข้าสู่ภายใน แอร์เย็นฉ่ำลอยมากระทบ มีพนักงานหลายสิบคนยืนรอและกุลีกุจอโค้งคำนับ ทักทาย พูดจาพินอบพิเทาอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
สิ่งนั้นทำให้เจตปวดศีรษะ เขาเกลียดการสวมหัวโขน เกลียดการมีผู้คนห้อมล้อม เกลียดการปั้นหน้าเข้าใส่กันเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณปู่และคุณพ่อถึงกับลงทุนบินไปหาเขาถึงแอฟริกา ที่กำลังทำงานเป็นช่างถ่ายภาพให้นิตยสารหนึ่งอยู่
‘ เจต ถือว่าปู่ขอร้องเถอะ ไอ้จอมมันดันติดสาวเสียแล้ว จมปลักกับความรักจนโงหัวไม่ขึ้น มันอยากจะแต่งงานแล้วบินไปอยู่กับคนรักของมันที่อเมริกา ใช้ชีวิตอิสระห่าเหวอะไรของมันก็ไม่รู้ ที่บ้านก็สร้างธุรกิจมาให้กินหรูอยู่สบาย ทำไมอยากจะไปไขว่คว้าหาความฝันบ้า ๆ บอ ๆ อะไรกันนักหนา ’ ท้ายประโยคนั้น เจตรู้ดีว่าคุณปู่แอบเหน็บเขาไปด้วยนั่นแหละ แต่เขาขี้เกียจจะทะเลาะเบาะแว้ง เถียงกันทีไร ปู่ก็ต้องเอาจนชนะให้ได้ทุกที ดื้อที่สุด
คนที่คุณปู่บ่นคือ จอมทัพ พี่ชายวัยสามสิบหกของเขาที่ไม่ชอบการต้องมานั่งบัลลังก์บริหารบริษัทเช่นเดียวกัน แต่เขาจำใจต้องทำตั้งแต่ทีแรกเพื่อเสียสละให้น้องชายได้ออกไปตามหาความฝัน และสุดท้ายพี่จอมก็ฝืนตัวเองไม่ได้
‘ ทำงานที่ไม่ได้รักมันก็แย่ว่ะ พี่เบื่อ อยากไปทำตามความฝันกับแอนเดรีย ’
จอมทัพหมายถึงการไปใช้ชีวิตกับหญิงสาวต่างชาติที่ตนเองตกหลุมรัก โดยเปิดร้านอาหารและกาแฟเล็ก ๆ ใช้ชีวิตสงบอย่างที่เขาใฝ่ฝันและพูดพร่ำให้ผู้เป็นน้องชายอย่างเจตสิกได้รับรู้อยู่เสมอ
เขาถอนใจยาวเมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ แค่นึกภาพว่าต้องไปนั่งโง่ ๆ ในออฟฟิศทุกวัน ไม่ได้ขับรถออกไปสู่โลกภายนอก ตระเวนไปทั่วเพื่อถ่ายภาพตามใจชอบ ไม่ได้ออกไปดื่มกินใช้ชีวิตให้มันสุดเหวี่ยงเพราะต้องรักษาภาพพจน์ผู้บริหารระดับสูง แค่นั้นเขาก็รู้สึกเหมือนติดคุกแล้ว
‘ พ่อจะไม่บังคับอะไรแกทั้งนั้น เจต ขอแค่เวลาเข้าออฟฟิศช่วยสวมเสื้อผ้าให้มันดี ๆ หน่อย ไม่ใช่กางเกงยีนเสื้อเชิ้ตเสื้อยืด ลากผ้าใบหรือรองเท้าแตะ มันดูไม่ภูมิฐาน ’
เจตได้แต่เหลือบตามองเพดาน นั่นน่ะ มันบังคับชัด ๆ
แถมยังมีเหตุผลเล็ก ๆ อีกหนึ่งข้อที่ทำให้เขาไม่อยากกลับมาที่นี่ เพราะใครบางคนที่ไม่อยากเจอ..
หูของเขาฟังคุณไตรภพ ชายร่างสูงโปร่ง สวมแว่น ผู้เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทพูดจายิ้มแย้มแนะนำพนักงานที่มายืนต้องรับข้างพรมแดงที่เขากำลังเดินอยู่บนนั้น ใบหน้าคมสันเรียบนิ่ง ดวงตาคมดุกวาดมองพนักงานทุกคนและไปสะดุดเข้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมองมายังเขา แต่ไร้รอยยิ้มชื่นชมเฉกเช่นพนักงานผู้หญิงคนอื่น ๆ ทั้งหมด
ยิ่งเขาก้าวไปใกล้ก็ยิ่งรับรู้ได้ชัดเจนว่าดวงตาคู่นั้นกำลังตำหนิ หัวใจของเขากระตุกวาบทันทีที่ประสานเข้ากับเธอ ก่อนเจตจะบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัวเธอสักหน่อย
การกลับมาที่นี่ ตอนนี้ เขาใหญ่ที่สุด ไม่ใช่ที่บ้านที่จะมีคนอื่นคอยเข้าข้างเธออย่างเช่นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอีกแล้ว นั่นทำให้ความมั่นใจของเขากลับคืนมา
มุมปากของเจตเหยียดยิ้มขำ ๆ ตำหนิ งั้นเหรอ ตอนนี้ตำแหน่งหน้าที่ของเธอเป็นแค่พนักงานเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรมาตำหนิผู้บริหารระดับสูงเช่นเขากันเล่า
เจตประสานสายตาเข้ากับเธอที่ยังจ้องตรงมายังเขาอย่างไม่กลัวเกรงคำว่า ผู้บริหารระดับสูง แต่ประการใด มันทำให้เขาหงุดหงิด
เออ ก็ยอมรับแหละว่าการที่เขาสวมกางเกงยีนสีดำ เสื้อกล้ามสีขาวด้านในและมีเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มทับอีกทีกับรองเท้าหนัง มันอาจจะไม่เหมาะกับลุคส์ผู้บริหารนัก แต่เขาก็ยังหล่อและดูดีใช่ย่อย อีกอย่าง เสื้อผ้าก็ไม่ได้การันตีถึงความสามารถในการบริหารเสียหน่อย สายตาแบบนั้นมันทำให้เขานึกถึงที่คุณพ่อบ่นและทำสีหน้าระอาใส่เขาเมื่อเช้า
“ ไอ้เจต นี่แกจะสวมชุดนี้ไปทำงานวันแรกเนี่ยนะ ”
“ แล้วไง ชุดมันเกี่ยวกับความสามารถในการทำงานด้วยเหรอครับ ”
“ มันก็ไม่เกี่ยวหรอก แต่มันเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของบริษัท และพนักงานเขาก็จะได้... ”
จะได้อะไรก็ไม่รู้ เพราะเจตวิ่งตื๋อหนีออกมาจากห้องโถงแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว
“ ไอ้เจต ไอ้ลูกบ้า โตจนอายุสามสิบแล้วมันยังเอาแต่ใจเหมือนเด็กไม่มีผิด ! ” คุณพ่อของเขาตะโกนปาว ๆ ตามหลัง แม้จะรู้ดีว่าลูกชายคนเล็กอย่างเจตนั้น ดื้อด้านเหลือเกิน