บทที่3
"หึ เป็นยังไงล่ะคะ ลูกนางเมียน้อยของคุณ"น้ำเสียงเหน็บแนมดังขึ้นหลังจากผู้เป็นเจ้าของบ้านถูกบุตรสาววางโทรศัพท์ใส่ ใบหน้าคมเข้มตามฉบับชาวไทยหันไปมองภรรยาตามกฎหมายที่อยู่ร่วมกินกันมานานหลายสิบปี
"ฉันบอกคุณแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้งไม่ให้ติดต่อหามัน แต่คุณก็ไม่ฟัง"
"แต่นับดาวก็เป็นลูกสาวอีกคนของผมเหมือนกันนะคุณปรานทิพย์ คุณจะให้ผมใจดำไม่สนใจนับดาวเลยอย่างนั้นหรือ"คุณหญิงของบ้านชักสีหน้าใส่สามีที่อยู่กินกันมา คำพูดของคนตรงหน้าไม่เข้าหูของเธอเลยสักนิด
"หึ ช่างกล้าพูด แต่ก็อย่างว่า คุณเป็นพ่อของนางนับดาว แต่ฉันไม่ใช่"
"ทำไมคุณถึงได้ใจดำแบบนี้"
"เหอะ คุณจะให้ฉันยิ้มรับดีใจที่ได้อุ้มชูเลี้ยงดูลูกนางเมียน้อยอย่างมันนั่นเหรอคะ ฝันไปเถอะค่ะ"ความเจ็บแค้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจไม่จางหาย ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเรื่องราวทั้งหมดมันยังคงเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจของเธอเรื่อยมา
"เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปี ทำไมคุณถึงไม่ลืม ๆ มันไปบ้าง"ใบหน้าสวยแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางสะบัดหันมามองหน้าคนรักทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น
"การที่คุณมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีก คุณคิดว่าฉันจะลืมมันได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอคะ"สามีคนดีกลับกลายเป็นคนเลวในสายตาของปรานทิพย์ เมื่อเธอจับได้ว่าอีกฝ่ายคบหากับผู้หญิงคนอื่นและถึงขึ้นมีลูกด้วยกัน ทันทีที่เธอรู้ความคับแค้นใจก็ระเบิดออกมาเธอเข้าไปหาทั้งสองก่อนจะตบหน้าผู้เป็นสามีด้วยความโกรธ
'คุณทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไรคุณใหญ่'
'คุณปราน ผมขอโทษ แต่ผมกับนับเดือนเราสองคนรักกัน'คำพูดของผู้เป็นสามีในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับมีดนับพันเล่มเสียงแทงไปตามร่างกาย แม้น้ำตาของปรานทิพย์ในตอนนั้นจะไม่ไหลออกมาประจานความอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเจ็บ
"เรื่องทั้งหมดผมเป็นคนผิดเอง ผมหลอกนับเดือน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมีภรรยา"
"เหอะ พูดตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ"แม้ว่าเรื่องมันจะผ่านไปนานตามกาลเวลา แต่ผมว่าความคับแค้นใจมันยังคงฝั่งแน่นอยู่ในใจไม่จางหายไปไหนถึงแม้ว่านับเดือนผู้เป็นแม่ของนับดาวจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
"ปริมกลับมาแล้วค่า"เสียงหวานดังมาแต่ไกลทำให้สองสามีภรรยาต้องหันกลับไปมองยังหน้าประตู ร่างสวยหุ่นเพรียวบางในชุดเดรสสีเขียวเข้มเดินถือถุงช้อปปิ้งมากมายเข้ามากอดออดอ้อนผู้ให้กำเนิดทั้งคู่
"หายไปทั้งวันเลยนะคะลูกสาว"ผู้เป็นแม่โอบกอดลูกสาวสุดที่รัก สายตากวาดมองดูถุงช้อปปิ้งที่บุตรสาวถืออยู่
"ปริมบอกคุณแม่แล้วนี่คะว่าจะไปทำสปาและช้อปปิ้ง"
"แม่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรหนูเลยนะลูก"ปริม หรือ ปรียาดา พรมพิทักษ์ บุตรสาวคนเดียวของคุณหญิง ปรานทิพย์ และคุณใหญ่ เธอเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของทั้งคู่ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาแบบคุณหนูผู้ที่เอาแต่ใจ
"วันนี้ปริมซื้อชุดที่จะใส่ไปงานมาเยอะแยะเลย คุณแม่ช่วยเลือกหน่อยสิคะว่าปริมใส่ชุดไหนแล้วจะสวย"
"ลูกปริมของแม่ ใส่ชุดไหนก็สวยค่ะ"ด้วยรูปลักษณ์งดงามดั่งราวกับนางฟ้าทำให้ปรียาดาเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง อีกทั้งความรวยเพราะเป็นถึงลูกสาวเจ้าของบริษัทจิวเวอร์รี่ของเธอนั้นทำให้ผู้ชายหลายคนต่างเข้ามาสานสัมพันธ์
"แล้วนี่คุณพ่อกับคุณแม่กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอคะ"ปรียาดามองผู้เป็นบิดามารดาสลับกันไปมา เพราะเมื่อครู่ตอนที่เธอเดินเข้ามาคล้ายได้ยินเหมือนเสียงคนทะเลาะกัน
"เปล่าหรอกลูก พ่อกับแม่กำลังปรึกษากันว่าจะใส่ชุดไหนไปร่วมงานเปิดตัวเครื่องเพชรของท่านชีคราฮิมดี"ปรานทิพย์ ไม่อยากให้ผู้เป็นบุตรสาวเสียใจเมื่อต้องมารับรู้ว่าบิดาและมารดามีปากเสียงทะเลาะกัน แต่บางครั้งมันก็อดไม่ได้เมื่อสามีของเธอเอาแต่พร่ำเพ้อถึงลูกสาวอีกคน จนบ่อยครั้งทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันต่อหน้าบุตรสาว ปรียาดารับรู้ดีว่าพ่อของเธอนั้นมีลูกสาวอีกคนซึ่งคนละแม่กับเธอ ด้วยความเป็นลูกคนเดียวถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูผู้เอาแต่ใจทำให้ ปรียาดาเกลียดนับดาวและแม่ของเธอดั่งเช่นเดียวกันกับผู้เป็นแม่
"คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันอีกใช่ไหมคะ"
"พ่อกับแม่ไม่ได้ทะเลาะกันเสียหน่อย ลูกคิดมากไปเอง"ผู้เป็นพ่ออธิบายพร้อมกับวางฝ่ามือใหญ่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาลงบนศีรษะของบุตรสาว
"แล้วไปค่ะ แต่อย่าให้ปริมรู้นะคะว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องของนางนับดาวมันอีก"แววตาของปรียาดาแสดงความไม่พอใจออกมาเมื่อเอ่ยถึงนับดาว ซึ่งข้อนี้ผู้เป็นบิดาก็รู้ดีว่าทั้งภรรยาและลูกสาวคนนี้ต่างไม่พอใจในตัวของบุตรสาวคนเล็กมากแค่ไหน
"เราสองคนไปลองชุดกันดีกว่าค่ะลูกปริม วันงานลูกปริมของแม่จะต้องสวยและเด่นที่สุดเพื่อมัดใจท่านชีคราฮิม"ครอบครัว พรมพิทักษ์ ถูกเชิญให้ไปร่วมงานเพราะถือว่าทางตระกูลพรมพิทักษ์เป็นบริษัทจิวเจอร์รี่ที่เปิดมาช้านายจากรุ่นสู่รุ่นและยังมีชื่อเสียงโด่งดัง